รีโนเวท บ้านหลังเก่าอายุ 40 ปี ให้กลายเป็นบ้านหลังใหม่ ที่คงไว้ซึ่งความทรงจำ

รีโนเวท บ้านหลังเก่าอายุ 40 ปี ให้กลายเป็นบ้านหลังใหม่ ที่คงไว้ซึ่งความทรงจำ (ชมคลิปท้ายข่าว)

“บ้าน” มิเพียงเป็นที่พักพิง หลบแดดฝน ไอร้อน หากแต่ “บ้าน” ยังเป็นจุดกำเนิดเรื่องราวต่างๆ ที่มากไปกว่าการออกแบบตกแต่งซึ่งเป็นโฉมลักษณ์ภายนอก เหตุใดคนๆ หนึ่งจึงอยากเก็บบ้านหลังเดิมไว้ทั้งๆ ที่เก่าโทรม มองแล้วแทบจะหาความรื่นใจไม่ได้

แต่นั่นเป็นเพราะบ้านของเขาทำให้เขากลายเป็นคนในแบบที่ตนเองพึงพอใจ และเพราะบ้านหลังนั้นทำให้รู้ว่าที่สุดแล้วชีวิตของเขาจะยังมีคนที่รักและห่วงใยแท้จริงรออยู่ ณ ที่แห่งนั้น คุณออย-ศศิวิมล และคุณใหญ่-ธีระศักดิ์ โพธิ์วิจิตร

คู่รักรุ่นใหม่ที่เลือกกลับเข้ามาพักอาศัยในบ้านหลังเก่าซึ่งมีคุณสุพรรณี แย้มแสงสังข์ คุณแม่ของคุณออยเป็นเจ้าของ ด้วยเหตุเพราะต้องการกลับมาอยู่เป็นเพื่อนคุณแม่ที่มีอายุเพิ่มขึ้น ไปพร้อมๆ การส่งต่อเรื่องราวที่อยู่ในความทรงจำของบ้านหลังนี้ไปยังน้องปราชญ์

ลูกชายวัยกว่า 2 ขวบ สภาพภายในบ้านหลังเดิม บ้านจัดสรรสไตล์โมเดิร์นในยุค 70’s หลังนี้ผ่านกาลเวลามาประมาณ 40 ปี เดิมทีเป็นบ้านที่คุณย่าทวดของคุณออยเป็นเจ้าของ หากแต่คุณแม่ของคุณออยเป็นลูกบุญธรรมที่เติบโตมาพร้อมๆ กับบ้านหลังนี้

ทุกคนในบ้านดูแลรักใคร่กันมาแต่ไหนแต่ไร แม้คุณออยจะไม่ได้อยู่บ้านหลังนี้ตั้งแต่แรก แต่ทุกช่วงปิดเทอมที่แวะมาพักก็รู้สึกผูกพัน คลุกคลีและจดจำภาพในอดีตได้แม่นยำ “คุณแม่รักบ้านหลังนี้มาก คุณยายเสียก็เสียที่นี่ คุณยายเป็นคุณครูเกษียณที่ยังใช้ชีวิตสนุกสนาน

ไปเที่ยวกับเพื่อน ทำกับข้าวเลี้ยงเพื่อนๆ เวลาเพื่อนแวะมาเยี่ยมบ้าน แต่ก่อนตรงนี้เป็นสนามหญ้า มีต้นมะม่วง มันเป็นความทรงจำของเราที่ผ่านมา พอคิดจะรีโนเวทก็อยากให้มันเหมือนเดิมมากที่สุด ไม่อยากทำร้ายจิตใจคุณแม่ เวลาทุบทำลายมันเหมือนมีเรื่องราวต่างๆ

อยู่ทุกส่วนของบ้านทั้งเสา คาน เราเลยขอเปลี่ยนแค่วัสดุ” บ้านใหม่ พร้อมอยู่ หลังการรีโนเวท ที่เป็นการพบกันตรงกลางทั้งของนักออกแบบ เจ้าของบ้าน และสมาชิกทุกคนในบ้าน ด้วยลักษณะการอยู่อาศัยแบบดั่งเดิมที่นิยมใช้ประโยชน์จากบ้านแบบคุ้มค่าเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์

ทำให้แต่เดิมบ้านบนผืนดิน 70 ตารางวาหลังนี้มีส่วนต่อเติมตามจำนวนสมาชิกที่เพิ่มขึ้น จากบ้านหลังย่อมๆ ก็กลายเป็นบ้านที่มีส่วนต่อขยายจนเต็มพื้นที่ และดูคับแคบแตกต่างจากปัจจุบันหลังการรีโนเวท ครอบครัวโพธิ์วิจิตร “บ้านหลังนี้อยู่มาแบบไม่มีการรีโนเวท

มีแต่การต่อเติมเป็นส่วนต่างๆ จนแน่นไปหมด แต่เมื่อเราคิดจะรีโนเวทเรากลับคิดเรื่องฟังก์ชั่นการใช้งานที่แท้จริงมากกว่าว่าชีวิตคนเมืองจริงๆ ลองดูว่าเราออกไปทำงานนอกบ้าน กลับเข้ามากินข้าว ดูทีวี เราใช้ชีวิตแทบจะเหมือนคอนโด

ถ้าส่วนไหนที่เราไม่ได้ใช้เราก็ไม่ต้องสร้างเพราะมันเปลืองพื้นที่ แต่ให้ดึงสภาพแวดล้อมภายนอกเข้ามามีส่วนร่วมในบ้านของเราดีกว่า” การจัดสรรพื้นที่นอกบ้านให้เชื่อมต่อกับพื้นที่ในตัวบ้านมากที่สุด บ้านจากความทรงจำหลังนี้จึงถูกออกแบบใหม่ให้มีลักษณะเป็นบ้านครึ่งตึกครึ่งไม้

ด้านล่างเป็นใต้ถุนเปิดโล่งถึงกันแบบไม่มีฉากกั้นทั้งส่วนห้องรับแขกเชื่อมต่อกับห้องครัวแบบง่ายๆ ตามประสาคนรุ่นใหม่ที่ทำครัวเน้นความสะดวกสบาย มีโต๊ะรับประทานอาหารเป็นแลนด์มาร์ก และถ้าลองเลื่อนผ้าม่าน เปิดบานเฟี้ยมที่กั้นอยู่รอบๆ

พื้นที่ในบ้านกับพื้นที่นอกบ้านก็แทบจะกลายเป็นส่วนเดียวกันทันที แม้จะมีส่วนที่กั้นไว้ชัดเจนอย่างห้องนอนคุณแม่คุณออย ห้องน้ำ และห้องนั่งเล่น แต่บ้านหลังนี้ก็ดูโล่ง โปร่งมากกว่า โถงรับแขก ส่วนแรกที่พบเมื่อเข้าไปในตัวบ้าน

เลือกใช้ชุดรับแขกจากบ้านหลังเดิม ที่เปลี่ยนเพียงเบาะหนังให้เป็นสไตล์เรโทร สำหรับบริเวณชั้นสองของบ้านแบ่งเป็นห้องนอนของคุณออยและคุณใหญ่ ห้องนอนน้องปราชญ์ และห้องน้ำเท่านั้น

สาเหตุที่ทั้งคู่เลือกแบ่งพื้นที่การใช้งานเช่นนี้เป็นเพราะต้องการให้ตอบโจทย์การใช้งานของตนเองและสมาชิกในบ้านอย่างแท้จริงมากกว่าการสร้างห้องและพื้นที่ต่างๆ เกินความจำเป็น พิมพ์ชื่อสมาชิกในบ้านตั้งแต่รุ่นคุณย่าทวด

เพื่อสร้างความผูกพันและเรื่องราวของบ้านหลังนี้สืบต่อไป เมื่อแบบบ้านลงตัว เรื่องถัดมาที่ต้องเป็นการมาพบกันครึ่งทางระหว่างคนสองรุ่นอย่างคุณออยและคุณแม่ของคุณออยคือเรื่องการเลือกใช้วัสดุในการเปลี่ยนโฉมบ้านหลังนี้

เนื่องจากทั้งคุณออยและสามีชื่นชอบงานแบบอินดัสเทรียลลอฟท์ที่เน้นการใช้วัสดุแบบเห็นชัดเจนทั้งหิน ปูน เหล็ก โลหะ ฯลฯ ที่อาจสร้างความเข้าใจได้ยากสำหรับคุณแม่คุณออย “จริงๆ แล้วไม่เป็นปัญหาเพราะคุณแม่เป็นคนหัวสมัยใหม่

และเราก็พาเขาไปเที่ยวตามโรงแรมที่ออกแบบในสไตล์อินดัสเทรียลลอฟท์บ่อยๆ แต่เราก็คิดว่ามันควรมาเจอกันครึ่งทาง เราเลยเอาไม้เก่าจากบ้านหลังเดิมมาใช้ด้วย บ้านเลยดูอบอุ่นและมีความเป็นทรอปิคอลผสมอยู่ด้วย

บ้านหลังนี้จึงเป็นลอฟท์ผสมเรโทรมากกว่า เพราะมีเฟอร์นิเจอร์เก่ามาตกแต่งด้วย ซึ่งคิดว่ามันจะยังคงโอเคอยู่เมื่อไปถึงรุ่นลูกของเรา” พื้นที่นอกตัวบ้าน ที่เปิดโล่ง แตกต่างจากบ้านหลังเก่า บ้านข้ามกาลเวลาหลังนี้หากเปรียบแล้วภายนอกที่เห็นอาจเป็นเหมือนหน้ากากชิ้นใหม่ที่เข้ามาสวมทับ

บดบังภาพของบ้านหลังเดิม หากแต่เรื่องราวและความประทับใจเบื้องหลังหน้ากากนั้นกลับเป็นเรื่องราวของบ้านหลังเดิมที่ทำให้ทุกครั้งไม่ว่าจะเดิน นั่ง นอน หรือขยับตัวไปตรงจุดไหนของบ้าน นอกจากเหตุการณ์ที่เผชิญหรือกิจกรรมที่ทำอยู่ตรงหน้าแล้ว

ภาพและความอบอุ่นในอดีตก็อาจวิ่งเข้ามาซ้อนทับอยู่เรื่อยๆ ก็เป็นได้ และนี่คือสิ่งที่ใครหลายๆ คนเลือกรีโนเวทบ้านเก่าแทนการทุบและสร้างบ้านใหม่ เพราะความทรงจำเป็นสิ่งที่เงินแลกมาไม่ได้