ชีวิตพลิก พ่อป่วยออกจากงาน เหลือเงิน 1,000 บาทสู่รายได้หลักล้าน

หากใครกำลังตกงานไม่มีงานทำ หรือท้อแท้ชีวิต วันนี้เรามีเรื่องราวดีๆ เพื่อให้ทุกคนได้สู้ต่อไป ถึงแม้จะลำบากแค่ไหนก็ไม่ยอมแพ้ ทุกปัญหามีทางออกเสมอวันนี้เราจะพาทุกคนนั้นมาดูอีก 1 คนที่สามารถประสบความสำเร็จที่เกิดจากความลำบากและเหลือเงินก้อนสุดท้ายเพียง 1พันบาท เขาหันทำการเกษตรและลาออกจากงานและหันมาทำสารพัดอาชีพ พร้อมทั้งต้องคอยดูแลพ่อแม่ที่ป่วยไปพร้อมกันซึ่งชีวิตของเขานั้นก็ยากลำบากพอสมควรแต่สุดท้ายเขาก็ประสบความสำเร็จจนสามารถเป็นเจ้าของฟาร์มเลี้ยงปูนาโกยเงินล้านได้เป็นที่สำเร็จ…

หนุ่มคนนี้ชื่อตูมตาม พ่อเขาป่วยเพราะตกจากต้นไผ่ที่มีความสูงเกือบ 2 เมตรอีกทั้งแม่ก็ป่วยทำให้คุณตูมตามหรือคุณปานศิริ ปาดกุล ที่เป็นลูกชายคนเดียวในบ้านต้องเป็นเสาหลักหาเลี้ยงครอบครัวโดยหลังจากที่เรียนจบในระดับปริญญาตรีคณะรัฐประศาสนศาสตร์ซึ่งการทำงานของเขานั้นก็ได้ไปทำงานที่แรกเป็นแผนกบัญชีในบริษัทแห่งหนึ่งจากนั้นก็ย้ายไปอยู่โรงงานอะไหล่โทรศัพท์มือถือที่จังหวัดปทุมธานี โดยทำงานประจำได้เพียงแค่ 5 เดือนก็ต้องลาออกเพราะต้องกลับบ้านเกิดมาดูแลพ่อที่ประสบอุบัติเหตุจนขาหักเดินไม่ได้

รายได้ของเขาในตอนนั้นเขาได้รับเงินเดือนประมาณ 20,000 บาทประมาณ 5 เดือนพอรู้ว่าพ่อวัย 60 ปีประสบอุบัติเหตุตกต้นไผ่สูงกว่า 2 เมตรจึงเลือกที่จะลาออกจากงานแล้วกลับมาบ้านเพื่อดูแลและแบ่งเบาภาระของพ่อแม่ซึ่งจะทำให้ตัวขาวนั้นกลายเป็นคนที่จะต้องหาเลี้ยงครอบครัว จึงได้นำเงินเก็บที่มีอยู่มาซื้อข้าวปลาอาหารที่จำเป็นแต่พอผ่านไปได้สักระยะเงินเก็บที่มีก็ร่อยหรอจึงจำเป็นจะต้องไปกู้ทั้งในและนอกระบบเพื่อมาใช้จ่ายจุนเจือคนในครอบครัวอีกครั้งก็ยังเดินไม่ได้ต้องกินอาหารผ่านสายยางถึง 5 เดือนและแม่ก็ป่วยในเวลาเดียวกันจนทำให้ช่วงนึงเงินทั้งบ้านเหลือเงินเพียงแค่ 1,000 บาทเท่านั้น

ซึ่งตอนนั้นคนตูมตามก็ได้นำเงิน 1,000 บาทสุดท้ายไปลงทุนขายไก่ย่างและหมูปิ้งโดยในตอนนั้นก็ทำให้เขามีชีวิตที่ดีขึ้นมาสักนิดนึงสามารถขายได้เป็นอย่างดี และพอมีรายได้เข้ามาจุนเจือเลี้ยงคนในครอบครัว แต่พอขายไปได้สักระยะหนึ่งก็เริ่มมีคู่แข่งจึงทำให้เขาต้องเลิกขายแล้วหันมาใช้วิธีพรีออเดอร์สินค้าผ่านทาง facebook และกินกำไรส่วนต่างแทนโดย pre order สินค้าจำพวกผักสดปลาและเอากำไรกิโลกรัมละ 20-30 บาท

โดยในตอนนั้นรายได้จากการพรีออเดอร์สินค้าจำพวกอาหารสดนั้นค่อนข้างดีจึงทำให้มีเงินหมุนเวียนในครอบครัวเดือนละเป็นหมื่นแต่นานวันก็อยากจะหาความมั่นคงให้กับในชีวิตจึงคิดอยากจะเลี้ยงปูนาขึ้นมาและประกอบกับที่ตัวเขานั้นเป็นคนชอบกินปูนาเป็นอย่างมากซึ่งเขาเคยประสบปัญหาในการเดินตามท้องนา 5-6 ชั่วโมงแต่ไม่สามารถหาปูนามารับประทานได้จนเกิดความคิดที่จะเลี้ยงเพื่อนำมาจำหน่ายด้วย ซึ่งนั่นก็ทำให้เขาใช้เงินเก็บที่มีอยู่ประมาณ 20,000 บาทลงทุนเลี้ยงปูนาในบ่อปูนในพื้นที่ประมาณ 1 ไร่ 44 ตารางวาโดยมีการสั่งปูนาคละไซส์มาจากหลายจังหวัดครั้งแรกประมาณ 4 ตัน

แต่สุดท้ายในการเลี้ยงครั้งแรกก็ไม่ประสบความสำเร็จเพราะปูนาทั้ง 4 ตันต า ยหมดเนื่องจากเลี้ยงในบ่อปูนซึ่งมีความเย็นอีกทั้งใส่น้ำประปาลงไปจึงทำให้มีคลอรีนปะปนทำให้ปูนาไม่สามารถปรับสภาพได้ทันจึงต า ยเกลี้ยงบ่อ แต่ด้วยความไม่ยอมแพ้เขาได้มีการเข้าไปศึกษาหาข้อมูลมากยิ่งขึ้นและมีการสั่งซื้อปูมาเลี้ยงอีกครั้งโดยการเลือกซื้อพ่อพันธุ์แม่พันธุ์มาเลี้ยงแทนการซื้อตัวเล็กเพาะปูนาบอบบางและตายง่ายกว่าพ่อพันธุ์แม่พันธุ์โดยในปัจจุบันคุณตุ่มตามได้มีการเลี้ยงปูอยู่สองสายพันธุ์ นั่นก็คือปูนาธรรมดาที่มีขนาดเล็กและปูนาพันธุ์กําแพงที่มีตัวใหญ่และรสชาติมัน

สำหรับวิธีการเลี้ยงปูนาตูมตามได้มีการเปิดเผยว่าหลังจากที่ได้พ่อพันธุ์แม่พันธุ์มาแล้วก็ให้นำมาเลี้ยงในบ่อดินเหนียวจากนั้นก็ใส่น้ำให้แฉะเป็นการสร้างบรรยากาศตามธรรมชาติและเลี้ยงต่อไปเรื่อยๆจนปูนาสามารถออกหาอาหารกินเองได้ประมาณ 5 วันก็ค่อยย้ายไปบ่อปูนซึ่งบอกบุญที่ใช้เลี้ยงปูนามีทั้งหมด 70 บ่อขนาด 2 คูณ 3 เมตร 1 บ่อสามารถเลี้ยงปูได้ประมาณ 10000 ตัว สำหรับการให้อาหารพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ก็จะให้อาหารวันละ 2 มื้อคือช่วงเช้ามืดและช่วงค่ำโดยเป็นอาหารปลาดุกเม็ดเล็กมีโปรตีนขนาด 32 และเสริมด้วยรำข้าววางตามพื้นดินเมื่ออาหารโดนน้ำและดินก็จะละลายส่วนปูก็จะหาออกมากินดินเอง ส่วนลูกปูนั้นตั้งแต่เกิดจนถึงอายุ 3 เดือนก็จะมีการให้ไข่แดงต้มสุกโดยให้วันละ 1 มื้อในช่วงเช้า

สำหรับเทคนิคการผสมพันธุ์ปู 3 ครั้งต่อปีก็มีการเปิดเผยว่าปกติปูนานั้นจะสามารถออกลูกได้เพียงปีละ 1 ครั้งเพื่อที่จะทำให้ปูนสามารถจำหน่ายได้ตลอดทั้งปีจึงมีการบังคับให้ปูผสมพันธุ์กันและสามารถออกลูกได้ปีละ 2-3 ครั้งโดยวิธีการก็คือหลังจากที่ปูนาออกลูกไปแล้วในช่วงฤดูฝนก็ปล่อยให้ดินแห้งแตกระแหงจากนั้นก็ฉีดน้ำเข้าไปให้เต็มที่ทำให้ปูนาเข้าใจว่าเข้าสู่ฤดูฝนอีกครั้งหนึ่งก็จะทำให้ปูนาออกมาผสมพันธุ์กันเอง

ส่วนทางด้านการตลาดนั้นก็ได้มีขายแปลรูปทั้งปูดองและปูสดและนำมาทำเป็นน้ำพริกเขากะปิปูอีกทั้งยังมีการส่งขายตามร้านอาหารซึ่งบางเดือนนั้นก็สามารถสร้างรายได้หลักล้านบาทเลยทีเดียวโดยมีการขายปูทั้งตัวเล็กที่ใช้ในการขายในส้มตำโดยจะขายในกิโลกรัมละ 80 100 บาทส่วนปูตัวใหญ่ที่ออกลอกคราบเรียกว่าปูนิ่มก็จะขายในกิโลกรัมละ 1,200 บาทและก้ามปูกิโลกรัมละ 1,000 บาทและสามารถส่งได้ตามร้านอาหารและภัตตาคารรวมถึงพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ก็ยังสามารถขายได้คู่ละ 100 บาท