บิงซู หรือน้ำแข็งไสเกาหลีที่ฮิตกันมานาน ความอร่อย
หวานเย็นชื่นใจของบิงซูที่ต้องไปตำ พากันไปโดน
รู้หรือไม่ว่าอันตรายจากการกินบิงซูมีไม่น้อยเลย
น้ำแข็งไสสัญชาติเกาหลีหรือที่เราเรียกกันว่าบิงซู เชื่อว่าหลายคนเคยไปกิน และเช็กอินกันตั้งแต่แรก ๆ ที่บิงซูมีขายในไทย และเราก็ปฏิเสธไม่ได้ค่ะว่าบิงซูเป็นน้ำแข็งไสที่อร่อย กินแล้วชื่นใจ แถมหน้าตาของบิงซูยังดูไฮโซกว่าน้ำแข็งไสแบบบ้าน ๆ ปัจจุบันบิงซูจึงยังเป็นที่นิยมของกลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงานกันอยู๋พอสมควร ทว่ากองสุขาภิบาลอาหาร สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร ได้ออกมาเตือนถึงอันตรายของการกินบิงซูที่ไม่ใช่แค่พาอ้วน แต่หากกินบิงซูถ้วยเดียวกันอาจได้โรคแถมมาด้วย
1. บิงซูอ้วนไหม ตอบเลยว่าใช่ อ้วนแน่ ๆ
จากข้อมูลของกองสุขาภิบาล ทำให้เราต้องยกมือทาบอกเบา ๆ เพราะบิงซู 1 ถ้วย (ประมาณ 100 กรัม) แคลอรีไม่น้อยเลยค่ะ อยู่ที่ 300-750 กิโลแคลอรีโดยประมาณ และที่น่าตกใจอีกอย่างก็คือ แคลอรีในบิงซูยังแซงปริมาณแคลอรีจากขาวเหนียวมะม่วง ฮันนีโทสต์ หรือแม้กระทั่งทุเรียนอีกต่างหาก
ดังนั้นถ้าถามว่ากินบิงซูอ้วนไหม ตอบได้ทันทีเลยว่าอ้วนแน่ ๆ ยิ่งถ้าเป็นสายกินท็อปปิ้งไม่อั้น ราดนมข้นเยิ้ม ๆ เพิ่มแคลอรีให้ร่างกายขั้นกว่า อย่างนี้ต้องมีคนน้ำหนักขึ้นชัวร์ !
2. เสี่ยงท้องร่วง !
แม้จะกินบิงซูในร้านดังหรือร้านเล็ก ๆ ก็ตาม เราอาจไม่เห็นกระบวนการผลิตของเขา รวมไปถึงสุขอนามัยของร้าน วัตถุดิบอาหาร กระทั่งภาชนะที่ใส่ และช้อนที่เราใช้ตักบิงซูรับประทาน เชื้อโรคที่แฝงมากับกระบวนการที่ไม่ถูกสุขลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งดังที่กล่าวมา อาจเป็นสาเหตุของอาการท้องเสีย ท้องร่วงได้ง่าย ๆ ดังนั้นหากใครเคยกินบิงซูแล้วเข้าห้องน้ำเป็นว่าเล่น ก็ไม่ต้องแปลกใจค่ะ เพราะเดาว่าคงโดนเชื้ออีโคไล หรือจุลินทรีย์ซาลโมเนลล่าจากบิงซูเล่นงานเข้าให้แล้ว
3. โรคติดต่อทางน้ำลายอาจมาทักทาย
โดยเฉพาะคนที่กินบิงซูถ้วยเดียวกันกับเพื่อนหลาย ๆ คน แม้เราจะใช้ช้อนคนละช้อน แต่การใช้ช้อนที่เปื้อนน้ำลายลงไปตักบิงซูคำใหม่ ก็อาจเป็นการแพร่เชื้อโรคแบบเนียน ๆ ก่อให้เกิดความเสี่ยงโรคติดต่อทางน้ำลาย เช่น โรคหวัด ไข้หวัดใหญ่ คอตีบ คางทูม โปลิโอ วัณโรค ไวรัสตับอักเสบเอ หรือโรคซาร์ส เป็นต้น
เพราะเอาเข้าจริง ๆ เราไม่รู้หรอกว่า เพื่อนร่วมชามบิงซูคนไหนมีเชื้อแฝงชนิดใดที่สามารถติดต่อผ่านทางน้ำลายได้หรือเปล่า ฉะนั้นหากกินบิงซูถ้วยเดียวกันไม่ว่าจะกับครอบครัว แฟน หรือเพื่อนก็ตาม ตระหนักไว้เสมอเลยค่ะว่า โรคติดต่อทางน้ำลายเหล่านี้ เรามีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นแน่นอน
กินบิงซูอย่างไรให้ปลอดภัย
เชื่อว่าคงไม่มีใครกินบิงซูกันทุกวัน แต่หากเป็นคนที่ชอบกินบิงซู กินค่อนข้างจะบ่อย เราก็มีหลักในการกินบิงซูให้ไม่อ้วน และไม่เสี่ยงต่อโรคมาฝาก ตามนี้เลยค่ะ
* ควรกินบิงซูในปริมาณที่พอเพียง ไม่มากเกินไป และควรเลือกท็อปปิ้งผลไม้เพื่อสุขภาพ เพื่อลดแคลอรีจากบิงซูลงบ้าง
* พยายามสั่งบิงซูถ้วยเล็กที่สามารถกินคนเดียวได้ เพื่อหลีกเลี่ยงการกินบิงซูร่วมกัน ลดความเสี่ยงโรคติดต่อทางน้ำลาย
* เลือกกินบิงซูในร้านที่มีความสะอาด พนักงานขายมีสุขลักษณะที่ดี โดยสังเกตคร่าว ๆ จากการแต่งกายที่สะอาดสะอ้าน คนทำบิงซูใส่หมวกคลุมผม ผ้ากันเปื้อน หน้ากากปิดจมูก และสวมถุงมือ เพื่อป้องกันสิ่งปนเปื้อนจากร่างกายสู่อาหาร รวมไปถึงภาชนะที่ใส่ท็อปปิ้ง ควรมีฝาหรือผ้าปิดมิดชิด หรือเก็บในที่ที่ป้องกันแมลงหรือฝุ่นลงไปปนเปื้อนได้
* พยายามสังเกตสีของน้ำแข็ง ท็อปปิ้ง และกลิ่นของบิงซูว่าปกติ มีความสะอาดน่ากิน ท็อปปิ้งไม่ดูเก่า น้ำแข็งไม่มีสิ่งปนเปื้อน นมไม่มีกลิ่นเปรี้ยว ๆ เหม็นบูด และภาชนะที่ใส่บิงซูก็ดูสะอาด จาน ชาม ช้อน ส้อม อยู่ในสภาพที่ถูกสุขอนามัย ไม่เปื้อน ไม่มีคราบที่บ่งบอกถึงการชำระล้างที่ไม่สะอาด เป็นต้น
* ควรหมั่นออกกำลังกายอยู่เสมอ และพยายามอย่ากินบิงซูบ่อยครั้งนักนะคะ สักสัปดาห์ละครั้ง หรือเดือนละครั้งจะยิ่งดีเลย
อาหารทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นอาหารคาวหรือของหวาน หากเราเลือกกินอย่างไม่ถูกสุขอนามัย หรือกินอาหารซ้ำกันบ่อย ๆ ร่างกายก็อาจจะไม่ได้รับสารอาหารที่เพียงพอต่อความต้องการ ความแข็งแรงของภูมิต้านทานก็อาจลดประสิทธิภาพการทำงานลง โดยเฉพาะในช่วงที่อากาศเปลี่ยน ควรเพิ่มความระมัดระวังในการกินอาหารให้มากขึ้น เพื่อสุขภาพที่ดี ห่างไกลจากโรคและความไม่สบายกาย
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
เฟซบุ๊ก กองสุขาภิบาลอาหาร สำนักอนามัย
น้ำแข็งไสสัญชาติเกาหลีหรือที่เราเรียกกันว่าบิงซู เชื่อว่าหลายคนเคยไปกิน และเช็กอินกันตั้งแต่แรก ๆ ที่บิงซูมีขายในไทย และเราก็ปฏิเสธไม่ได้ค่ะว่าบิงซูเป็นน้ำแข็งไสที่อร่อย กินแล้วชื่นใจ แถมหน้าตาของบิงซูยังดูไฮโซกว่าน้ำแข็งไสแบบบ้าน ๆ ปัจจุบันบิงซูจึงยังเป็นที่นิยมของกลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงานกันอยู๋พอสมควร ทว่ากองสุขาภิบาลอาหาร สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร ได้ออกมาเตือนถึงอันตรายของการกินบิงซูที่ไม่ใช่แค่พาอ้วน แต่หากกินบิงซูถ้วยเดียวกันอาจได้โรคแถมมาด้วย
จากข้อมูลของกองสุขาภิบาล ทำให้เราต้องยกมือทาบอกเบา ๆ เพราะบิงซู 1 ถ้วย (ประมาณ 100 กรัม) แคลอรีไม่น้อยเลยค่ะ อยู่ที่ 300-750 กิโลแคลอรีโดยประมาณ และที่น่าตกใจอีกอย่างก็คือ แคลอรีในบิงซูยังแซงปริมาณแคลอรีจากขาวเหนียวมะม่วง ฮันนีโทสต์ หรือแม้กระทั่งทุเรียนอีกต่างหาก
ดังนั้นถ้าถามว่ากินบิงซูอ้วนไหม ตอบได้ทันทีเลยว่าอ้วนแน่ ๆ ยิ่งถ้าเป็นสายกินท็อปปิ้งไม่อั้น ราดนมข้นเยิ้ม ๆ เพิ่มแคลอรีให้ร่างกายขั้นกว่า อย่างนี้ต้องมีคนน้ำหนักขึ้นชัวร์ !
2. เสี่ยงท้องร่วง !
แม้จะกินบิงซูในร้านดังหรือร้านเล็ก ๆ ก็ตาม เราอาจไม่เห็นกระบวนการผลิตของเขา รวมไปถึงสุขอนามัยของร้าน วัตถุดิบอาหาร กระทั่งภาชนะที่ใส่ และช้อนที่เราใช้ตักบิงซูรับประทาน เชื้อโรคที่แฝงมากับกระบวนการที่ไม่ถูกสุขลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งดังที่กล่าวมา อาจเป็นสาเหตุของอาการท้องเสีย ท้องร่วงได้ง่าย ๆ ดังนั้นหากใครเคยกินบิงซูแล้วเข้าห้องน้ำเป็นว่าเล่น ก็ไม่ต้องแปลกใจค่ะ เพราะเดาว่าคงโดนเชื้ออีโคไล หรือจุลินทรีย์ซาลโมเนลล่าจากบิงซูเล่นงานเข้าให้แล้ว
โดยเฉพาะคนที่กินบิงซูถ้วยเดียวกันกับเพื่อนหลาย ๆ คน แม้เราจะใช้ช้อนคนละช้อน แต่การใช้ช้อนที่เปื้อนน้ำลายลงไปตักบิงซูคำใหม่ ก็อาจเป็นการแพร่เชื้อโรคแบบเนียน ๆ ก่อให้เกิดความเสี่ยงโรคติดต่อทางน้ำลาย เช่น โรคหวัด ไข้หวัดใหญ่ คอตีบ คางทูม โปลิโอ วัณโรค ไวรัสตับอักเสบเอ หรือโรคซาร์ส เป็นต้น
เพราะเอาเข้าจริง ๆ เราไม่รู้หรอกว่า เพื่อนร่วมชามบิงซูคนไหนมีเชื้อแฝงชนิดใดที่สามารถติดต่อผ่านทางน้ำลายได้หรือเปล่า ฉะนั้นหากกินบิงซูถ้วยเดียวกันไม่ว่าจะกับครอบครัว แฟน หรือเพื่อนก็ตาม ตระหนักไว้เสมอเลยค่ะว่า โรคติดต่อทางน้ำลายเหล่านี้ เรามีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นแน่นอน
กินบิงซูอย่างไรให้ปลอดภัย
เชื่อว่าคงไม่มีใครกินบิงซูกันทุกวัน แต่หากเป็นคนที่ชอบกินบิงซู กินค่อนข้างจะบ่อย เราก็มีหลักในการกินบิงซูให้ไม่อ้วน และไม่เสี่ยงต่อโรคมาฝาก ตามนี้เลยค่ะ
* ควรกินบิงซูในปริมาณที่พอเพียง ไม่มากเกินไป และควรเลือกท็อปปิ้งผลไม้เพื่อสุขภาพ เพื่อลดแคลอรีจากบิงซูลงบ้าง
* พยายามสั่งบิงซูถ้วยเล็กที่สามารถกินคนเดียวได้ เพื่อหลีกเลี่ยงการกินบิงซูร่วมกัน ลดความเสี่ยงโรคติดต่อทางน้ำลาย
* เลือกกินบิงซูในร้านที่มีความสะอาด พนักงานขายมีสุขลักษณะที่ดี โดยสังเกตคร่าว ๆ จากการแต่งกายที่สะอาดสะอ้าน คนทำบิงซูใส่หมวกคลุมผม ผ้ากันเปื้อน หน้ากากปิดจมูก และสวมถุงมือ เพื่อป้องกันสิ่งปนเปื้อนจากร่างกายสู่อาหาร รวมไปถึงภาชนะที่ใส่ท็อปปิ้ง ควรมีฝาหรือผ้าปิดมิดชิด หรือเก็บในที่ที่ป้องกันแมลงหรือฝุ่นลงไปปนเปื้อนได้
* พยายามสังเกตสีของน้ำแข็ง ท็อปปิ้ง และกลิ่นของบิงซูว่าปกติ มีความสะอาดน่ากิน ท็อปปิ้งไม่ดูเก่า น้ำแข็งไม่มีสิ่งปนเปื้อน นมไม่มีกลิ่นเปรี้ยว ๆ เหม็นบูด และภาชนะที่ใส่บิงซูก็ดูสะอาด จาน ชาม ช้อน ส้อม อยู่ในสภาพที่ถูกสุขอนามัย ไม่เปื้อน ไม่มีคราบที่บ่งบอกถึงการชำระล้างที่ไม่สะอาด เป็นต้น
* ควรหมั่นออกกำลังกายอยู่เสมอ และพยายามอย่ากินบิงซูบ่อยครั้งนักนะคะ สักสัปดาห์ละครั้ง หรือเดือนละครั้งจะยิ่งดีเลย
อาหารทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นอาหารคาวหรือของหวาน หากเราเลือกกินอย่างไม่ถูกสุขอนามัย หรือกินอาหารซ้ำกันบ่อย ๆ ร่างกายก็อาจจะไม่ได้รับสารอาหารที่เพียงพอต่อความต้องการ ความแข็งแรงของภูมิต้านทานก็อาจลดประสิทธิภาพการทำงานลง โดยเฉพาะในช่วงที่อากาศเปลี่ยน ควรเพิ่มความระมัดระวังในการกินอาหารให้มากขึ้น เพื่อสุขภาพที่ดี ห่างไกลจากโรคและความไม่สบายกาย
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
เฟซบุ๊ก กองสุขาภิบาลอาหาร สำนักอนามัย