ชวนย้อนรอยความอร่อยไปกับสูตรขนมไทยโบราณหากินยาก ชื่องามนามเพราะไม่พอ อร่อยล้ำค่าแบบไทยแท้ ๆ ใครอยากลองอย่ารอช้า ถึงบางสูตรจะประยุกต์ให้เข้ากับยุคกับสมัยมากขึ้น แต่รับรองว่า ความอร่อยไม่น้อยหน้าเลยล่ะ
ใครชอบกินขนมไทยเหมือนกันบ้างเอ่ย ขนมไทยทั่วไปหาซื้อแสนง่ายไม่ต้องทำเองก็ได้ แต่ถ้าหากอยากกินขนมไทยโบราณคงต้องทำเองค่ะ เพราะแต่ละอย่างหากินยากมาก ๆ แทบจะไม่มีหลงเหลือให้เห็นแล้วด้วย กระปุกดอทคอมขอนำเสนอวิธีทำขนมไทยโบราณ หากินยาก ยกตัวอย่างเช่น ขนมเปียกปูนกะทิสด ขนมช่อม่วง ขนมฝักบัวใบเตย และเมนูขนมไทยโบราณอื่น ๆ อีกเพียบ มาอร่อยย้อนวัยกันเลยดีกว่า
คุ้นชื่อขนมบุหลันดั้นเมฆกันบ้างไหมเอ่ย ? ขนมไทยโบราณเมนูนี้หลายคนอาจไม่รู้จักรวมทั้งไม่เคยเห็นหน้าตาอีกด้วย ตัวขนมสีสวยจากน้ำดอกอัญชัน ตรงกลางหยอดกะทิและไข่แดงลงไป หน้าตาสวยงามประณีต ถ้าสนใจจะลองทำ มาดูสูตรจาก คุณ BlackPiano สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม แล้วจะได้รู้กันไปว่าอร่อยขนาดไหน
ส่วนผสม ขนมบุหลันดั้นเมฆ • ดอกอัญชัน
• น้ำร้อน (สำหรับคั้นน้ำอัญชัน)
• กะทิ 120 กรัม
• แป้งข้าวเจ้า 10 กรัม (สำหรับผสมกับกะทิ)
• เกลือ เล็กน้อย
• ไข่แดง 10 ฟอง
• น้ำตาลไอซิ่ง 60 กรัม
• กลิ่นวานิลลา เล็กน้อย
• แป้งข้าวเจ้า 100 กรัม (สำหรับผสมกับน้ำดอกอัญชัน)
• แป้งเท้ายายม่อม 40 กรัม
• น้ำเปล่า 200 กรัม
• น้ำเชื่อม 350 กรัม (พักไว้จนเย็น)
• ถ้วยตะไล (สำหรับนึ่งขนม)
วิธีทำขนมบุหลันดั้นเมฆ 1. คั้นดอกอัญชันกับน้ำร้อนให้ได้ปริมาณ 100 กรัม พักไว้
2. ผสมกะทิกับแป้งข้าวเจ้า 10 กรัม เข้าด้วยกันแล้วนำไปเคี่ยวในกระทะให้พอข้น ๆ ใส่เกลือลงไปเล็กน้อย คนให้เข้ากัน ปิดไฟพักไว้
3. ตีผสมไข่แดงกับน้ำตาลไอซิ่งให้เข้ากัน เติมกลิ่นวานิลลาลงไปเล็กน้อยเพื่อดับกลิ่นคาว คนผสมให้เข้ากัน จากนั้นนำไปกรองให้เนื้อเนียน ๆ เตรียมไว้
4. ผสมแป้งข้าวเจ้า 100 กรัม กับแป้งเท้ายายม่อมให้เข้ากัน ค่อย ๆ เติมน้ำเปล่าทีละน้อยลงไปผสม นวดแป้งประมาณ 5 นาที จนแป้งมีลักษณะเงา เทน้ำเปล่าที่เหลือลงไปจนหมด ตามด้วยน้ำเชื่อมที่เย็นแล้ว เทน้ำดอกอัญชันลงไปผสม คนผสมให้เข้ากันแล้วนำไปกรอง พักไว้
5. นำถ้วยตะไลไปนึ่งให้ร้อน หยอดส่วนผสมแป้งลงไปจนเกือบเต็ม ปิดฝานึ่งในน้ำเดือดประมาณ 2-2.30 นาที โดยสังเกตจากขอบขนมเริ่มมีสีเข้มขึ้นและตรงกลางมีสีอ่อน ๆ เป็นใช้ได้ รีบนำออกมาจากชุดนึ่งแล้วคว่ำถ้วยขนมลงชาม แป้งที่ยังไม่สุกก็จะไหลออกมา ทำให้ขนมเป็นหลุมตรงกลาง
6. บีบหรือหยอดกะทิที่เคี่ยวไว้ลงไปในหลุม นำไปนึ่งต่ออีก 1 นาที พอครบเวลาก็หยอดส่วนผสมไข่แดงลงในหลุม จากนั้นนำไปนึ่งต่ออีกประมาณ 5 นาที ตักใส่ภาชนะ พร้อมเสิร์ฟ
+ ดูวิธีทำเพิ่มเติมได้ที่ ขนมบุหลันดั้นเมฆ วิธีทำขนมไทยโบราณสีสดใสไว้ลองชิม
+++++++++++++++++++
รู้ไหมคะว่า มีขนมอินทนิลอยู่บนโลกใบนี้ด้วย สมัยนี้ถ้าไปหาซื้อมากินคงไม่มีขายแล้วค่ะ มาทำเองกันดีกว่า สูตรจาก คุณ lennon forever แป้งเหนียว ๆ สีเขียวใบเตย กินคู่กับน้ำกะทิอบควันเทียน ก่อนเสิร์ฟใส่น้ำแข็งลงไปอีกนิด อร่อยมากบอกเลย
ส่วนผสม ตัวขนม • แป้งมันสำปะหลัง 2 ถ้วย
• น้ำใบเตย 4 ถ้วย
ส่วนผสม น้ำกะทิ • น้ำกะทิ 4 ถ้วย (หัวกะทิ 1 ถ้วยตวง กับ หางกะทิ 3 ถ้วยตวง) หรือกะทิกระป๋อง 4 ถ้วยตวง
• น้ำตาลทราย 1+1/2 ถ้วยตวง
• เกลือป่น 1 ช้อนชา
• เทียนสำหรับอบขนม
วิธีทำขนมอินทนิล 1. ทำน้ำกะทิอบควันเทียน โดยเทน้ำกะทิลงอ่าง จุดเทียนอบขนมให้ไฟลามถึงตรงขี้ผึ้งแล้วดับเทียน ใส่เทียนลงในถ้วยเล็ก ๆ แล้วเอาใส่อ่างน้ำกะทิ ปิดฝา อบน้ำกะทิไว้ประมาณ 30 นาที แล้วจุดเทียนอบซ้ำอีก 1-2 ครั้ง ถ้ามีดอกกระดังงาก็เอาไปอบพร้อมเทียนเลย
2. พอได้น้ำกะทิที่อบควันเทียนแล้วนำขึ้นตั้งไฟ ใส่น้ำตาลทราย และเกลือป่น คนผสมให้ละลาย รอจนเดือดแล้วยกลง
3. ทำตัวขนม โดยผสมแป้งกับน้ำใบเตย คนให้แป้งละลายเข้ากับน้ำใบเตย นำขึ้นตั้งไฟอ่อน ใช้พายกวนตลอด ระวังอย่าให้ก้นหม้อไหม้ กวนจนขนมสุก ตัวแป้งจะเหนียวและใส พอแป้งสุกทั่วกัน เอาหม้อลงแช่ในอ่างน้ำแข็งเพื่อลดอุณหภูมิตัวขนมไม่ให้ร้อนเกินไป เดี๋ยวจะจับเป็นตัวไม่ได้
4. เตรียมถ้วยใส่น้ำไว้คอยจุ่ม ป้องกันขนมติดมือ ใช้นิ้วเปียก ๆ หยิบแป้งปั้นให้กลม ๆ ขนาดพอดีคำ แล้วหย่อนลงน้ำกะทิที่เตรียมไว้ ทำจนแป้งหมด ตัวขนมอินทนิลที่ดี ต้องไม่แข็งเป็นไตตรงกลาง ตักขนมใส่ถ้วย ใส่น้ำแข็งทุบ จัดเสิร์ฟ
+ ดูวิธีทำเพิ่มเติมได้ที่ ขนมอินทนิล ขนมไทยโบราณหากินยาก
+++++++++++++++++++
3. ขนมโค
ขนมโค ขนมพื้นเมืองภาคใต้อาจจะหาอร่อย ๆ กินยากไปหน่อย แต่ไม่ต้องเดินทางไปถึงภาคใต้หรอกค่ะ แค่อยู่ที่บ้านก็ทำได้นะคะ สูตรจาก คุณแมวเหมียวโมจิ สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ตัวแป้งทำเป็นสีธรรมชาติหรือใส่สีตามชอบก็ได้ ใส่ไส้น้ำตาลมะพร้าว คลุกมะพร้าวขูดเพิ่มความอร่อย
ส่วนผสม ขนมโค • แป้งข้าวเหนียว
• น้ำตาลแว่น
• มะพร้าวขูด (เราหาไม่ได้เลยเอาเนื้อมะพร้าวทึนทึกมาสับ ๆ)
• เผือกหอมนึ่ง
• เกลือป่นเล็กน้อย (ใช้สำหรับคลุกกับมะพร้าวขูด)
• เฮลซ์บลูบอยสีแดง (สีอื่น ๆ หรือน้ำคั้นจากผักสีธรรมชาติ) ไม่ใส่ก็ได้
วิธีทำขนมโค 1. ใช้ช้อนกับส้อมบดเผือกนึ่ง เสร็จแล้วนำไปผสมกับแป้งข้าวเหนียว นวดผสมกันจนเป็นก้อน ถ้าส่วนผสมแห้งเกินไปก็เติมน้ำ ถ้าเหนียวไปก็ต้องเติมแป้งเพิ่ม ถ้าต้องการแป้งสีชมพูก็เอาน้ำหวานสีแดงผสมน้ำเปล่าเทใส่ลงไปแล้วนวดจนเข้ากัน
2. แบ่งแป้งเป็นก้อนกลม ๆ กะปริมาณของแป้งจะต้องมากพอที่จะหุ้มน้ำตาลที่ตัดเตรียมไว้ได้ แผ่เป็นแผ่นบาง กะความหนาให้พอดี วางน้ำตาลลงไปตรงกลาง คลึงให้เป็นก้อนกลม ทำเสร็จแล้วพักไว้
3. เติมน้ำสะอาดใส่ลงในหม้อ ตั้งไฟกลางรอจนน้ำเดือด ใส่ขนมโคลงไปลวกจนสุก สังเกตจากขนมลอยขึ้นมา ตักไปแช่น้ำเย็นไว้ครู่หนึ่งกันขนมติดกัน (ในสูตรไม่ชอบให้ขนมติดกันเลยใช้วิธีนี้ แต่สูตรเดิมคือไม่ต้องแช่น้ำ)
4. ตักขนมใส่จาน และนำมะพร้าวขูดคลุกกับเกลือป่นเล็กน้อย เสร็จแล้วก็นำไปคลุกกับตัวขนมหรือจะโรยก็ได้
+ ดูวิธีทำเพิ่มเติมได้ที่ ขนมโค ตำรับปักษ์ใต้ แป้งนุ่มไส้หวานหอมอร่อยน่าลองทำ
+++++++++++++++++++
4. ขนมเปียกปูนกะทิสด
ขนมเปียกปูนชิ้นสี่เหลี่ยมก็เคยลองแล้วและยังหากินได้อยู่ แต่ถ้าเป็นขนมเปียกปูนกะทิสด อยากบอกว่าไม่เคยเห็นเลยล่ะ เอาล่ะ… มาทำกินกับคนพิเศษกัน สูตรจาก คุณ Kitty Chef สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ขนมเปียกปูนใส่ใบเตย ราดกะทิรสเค็ม โรยงาขาวคั่ว บอกเลยว่าทำไม่ยากอย่างที่คิด
ส่วนผสม ขนมเปียกปูนกะทิสด • แป้งข้าวเจ้า 1 ถ้วยตวง
• แป้งมัน 1/4 ถ้วยตวง
• น้ำปูนใส 1 ถ้วยตวง
• น้ำใบเตย 2 ถ้วยตวง
• เกลือเล็กน้อย
• น้ำตาลทรายแดง 1/4 ถ้วยตวง
• น้ำตาลปี๊บ 120 กรัม
ส่วนผสม กะทิราดหน้าขนม • กะทิ 500 กรัม
• เกลือแค่หยิบมือ
• แป้งข้าวเจ้า 1 ช้อนชา (จะใส่หรือไม่ใส่ก็ได้ แต่ที่ใส่เพื่อให้น้ำกะทิข้น)
• งาขาวคั่ว
วิธีทำขนมเปียกปูนกะทิสด 1. นำแป้งข้าวเจ้า แป้งมัน น้ำปูนใส และน้ำใบเตยผสมกันและนวดจนเข้ากันดี ใส่เกลือ น้ำตาลทรายแดง และน้ำตาลปี๊บ นวดต่อจนเข้ากันดี กรองส่วนผสมแป้งด้วยตะแกรง 1 รอบ
2. ตั้งกระทะเปิดไฟปานกลาง ใส่แป้งลงไปกวน พอแป้งเริ่มจับตัวเป็นก้อนให้ลดเป็นไฟอ่อน ค่อย ๆ กวนต่อจนส่วนผสมเนียนเข้ากันดี สังเกตจากการเอาไม้พายตักแป้งขึ้นมา ถ้าแป้งเหนียวติดไม้พายก็ใช้ได้แล้ว ตักขนมเปียกปูนใส่ถุงบีบ และใช้หัวบีบแต่งหน้าเค้ก บีบใส่ถ้วย
3. ใส่หัวกะทิลงในหม้อ ตามด้วยเกลือ ใส่แป้งข้าวเจ้า คนผสมจนเดือด เสร็จแล้วตักกะทิราดหน้าขนมเปียกปูน โรยงาขาวคั่ว
+ ดูวิธีทำเพิ่มเติมได้ที่ ขนมเปียกปูนกะทิสด ขนมไทยโบราณเนื้อหนึบหอมเข้มกลิ่นใบเตย
+++++++++++++++++++
5. ขนมหยกมณี
ใครมีสาคูหยิบมารอเลยค่ะ ชวนทำขนมไทยโบราณอย่างขนมหยกมณี สูตรจาก คุณ Rin's Cookbook (#Rinscookbook) จับสาคูใส่ใบเตย เติมน้ำตาลทราย ตักชิ้นพอดีคำคลุกมะพร้าว ทำง่ายจริง ๆ นะขอบอก
ส่วนผสม ขนมหยกมณี • สาคูเม็ดเล็ก 1 ถ้วยตวง
• ใบเตยหั่น 5-6 ใบ
• น้ำเปล่า หรือน้ำลอยดอกมะลิ (สำหรับปั่นน้ำใบเตย) 2 ถ้วยตวง
• น้ำ (สำหรับต้มสาคู) 1+1/2 ถ้วยตวง
• น้ำตาลทราย 1 ถ้วยตวง
• มะพร้าวทึนทึกขูดฝอย 1 ถ้วยตวง
• เกลือป่น 1/2 ช้อนชา
วิธีทำขนมหยกมณี 1. ล้างสาคู โดยเทสาคูลงไปบนตะแกรง ใส่น้ำเปล่าลงไป ใช้มือคนเล็กน้อย เทน้ำทิ้ง ทำซ้ำ 2 รอบ พักสาคูไว้บนตะแกรงให้สะเด็ดน้ำประมาณ 15-20 นาที
2. คั้นน้ำใบเตย โดยหั่นใบเตยเป็นชิ้นเล็ก ๆ ใส่โถปั่น เติมน้ำเปล่า หรือน้ำลอยดอกมะลิลงไป ปั่นให้ละเอียด กรองด้วยผ้าขาวบาง หรือถุงกาแฟ เตรียมไว้
3. พอพักสาคูไว้จนครบ 15 นาทีแล้ว เทน้ำเปล่าใส่กระทะ หรือหม้อ เปิดไฟแรงสูง พอน้ำเดือดพล่านให้ปรับเป็นไฟกลาง จากนั้นใส่สาคูลงไปคนอย่างเร็ว (เพราะสาคูจะจับเป็นก้อน) คนจนสาคูเริ่มจับตัวเป็นก้อน มีลักษณะเป็นตากบคือ มีสีขุ่นตรงกลางและภายนอกสีใส
4. ใส่น้ำใบเตยลงไปคนให้เข้ากัน กวนส่วนผสมไปเรื่อย ๆ ถ้าชอบสาคูเป็นแบบตากบก็ใส่น้ำตาลทรายลงไปได้เลย หรือถ้าชอบสาคูสุกมากก็กวนจนน้ำแห้งแล้วค่อยใส่น้ำตาลทรายลงไป (ชอบแบบไหนก็ใส่น้ำตาลลงไปตอนนั้น)
5. พอใส่น้ำตาลทรายเสร็จแล้วก็กวนส่วนผสมต่อไปอีกประมาณ 5 นาที หรือจนขนมค่อนข้างหนืดตัวและข้นแต่ไม่แห้ง
6. เทขนมใส่ถาด เกลี่ยให้เท่า ๆ กัน (ห้ามจุ่มมือลงไปเพราะขนมร้อนมาก ๆ) ผึ่งขนมไว้จนเย็น
7. ระหว่างรอขนมเย็นให้นึ่งมะพร้าวขูดในชุดนึ่งใช้ไฟแรงประมาณ 15 นาที จากนั้นนำมะพร้าวใส่จาน โรยเกลือป่น คลุกเคล้าให้ทั่ว
8. นำช้อนกินข้าวไปจุ่มน้ำเล็กน้อย จากนั้นนำมาตักขนมหยกมณีเป็นคำ ๆ วางขนมหยกมณีลงบนมะพร้าว คลุกเคล้าขนมหยกมณีกับมะพร้าวให้เข้ากัน ตักใส่ภาชนะ พร้อมเสิร์ฟ
+ ดูวิธีทำเพิ่มเติมได้ที่ ขนมหยกมณี ขนมไทยโบราณเนื้อนุ่มเหนียวหอมกลิ่นใบเตย
+++++++++++++++++++
6. ขนมช่อม่วง
สมัยนี้ขนมช่อม่วงหากินยาก ถ้ามีขายก็ราคาแพง ถ้าใครมีเวลาว่างอยากชวนมาทำกินกันเอง มีทั้งสูตรส่วนผสมแป้งและไส้หมู ขั้นตอนอาจเยอะแต่ไม่ยากค่ะ วิธีการจับจีบแรก ๆ อาจมือไม้สั่น แต่ถ้าทำไปเรื่อย ๆ รับรองออกมาสวยแน่นอน
ส่วนผสม ไส้ช่อม่วง • น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ
• หมูสามชั้นต้มสุก 1/4 ถ้วย (หั่นสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ)
• ฟักเชื่อมแห้ง 150 กรัม (หั่นสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ)
• เกลือป่น 1/2 ช้อนชา
• น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ
• งาขาวคั่ว 50 กรัม
• ถั่วลิสงคั่ว 50 กรัม
ส่วนผสม แป้งช่อม่วง • แป้งข้าวเจ้า 1 ถ้วย
• แป้งเท้ายายม่อม 1/2 ช้อนโต๊ะ
• แป้งมันสำปะหลัง 1/2 ช้อนโต๊ะ
• น้ำลอยดอกมะลิ 1 ถ้วย (หรือน้ำผสมกลิ่นมะลิ)
• ดอกอัญชัน 10 ดอก
• แป้งมันสำปะหลัง เล็กน้อย (สำหรับทาแหนบตอนจับจีบขนม)
• ผักกาดหอม สำหรับเสิร์ฟ
• กระเทียมเจียว (โรยหน้า)
• พริกขี้หนูสวน (โรยหน้า)
อุปกรณ์ที่ควรมี • กระทะทองเหลือง
• แหนบทองเหลืองสำหรับจับจีบ
• ชุดนึ่ง
วิธีทำไส้ขนมช่อม่วง1. ตั้งกระทะใส่น้ำมันพืชลงไป เอาหมูสามชั้นที่หั่นไว้ลงไปผัด ใช้ไฟปานกลาง รอจนน้ำมันหมูออกมาและหมูเริ่มสุกสีเหลือง
2. ใส่ฟักเชื่อมลงไปผัดใช้ไฟอ่อน ปรุงรสด้วยเกลือและน้ำตาลทราย ใส่งาขาวและถั่วลิสงลงไป ผัดให้เข้ากันดีจนแห้ง ตักใส่ชาม เตรียมไว้
วิธีทำแป้งขนมช่อม่วง 1. ร่อนแป้งข้าวเจ้า แป้งมันสำปะหลัง และแป้งเท้ายายม่อมเข้าด้วยกัน 2-3 รอบจนเนียนละเอียด
2. ใส่น้ำมันพืชลงไป ค่อย ๆ เติมน้ำเปล่าและน้ำดอกมะลิลงไปจนหมด ใช้มือขยำคนนวดส่วนผสมแป้งให้ละเอียดเข้ากัน แบ่งส่วนผสมแป้งเป็น 2 ส่วนเท่า ๆ กัน
3. คั้นน้ำดอกอัญชันแล้วบีบน้ำมะนาวลงไป เทใส่ลงในส่วนผสมแป้ง 1 ถ้วยคลุกเคล้าให้เข้ากัน
4. ใส่ส่วนผสมแป้งลงในกระทะทองเหลือง ใช้ไฟกลางค่อนข้างอ่อน ใช้ไม้พายกวนไปเรื่อย ๆ จนส่วนผสมร่อนจากกระทะ ประมาณ 5-10 นาที ตักใส่ภาชนะ พักไว้จนแป้งเริ่มอุ่น
5. โรยแป้งนวลลงไปเล็กน้อยแล้วลงมือนวดแป้งให้เนียนแล้วคลุมด้วยผ้าขาวบางหมาด ๆ เพื่อไม่ให้แป้งแห้ง
วิธีทำดอกช่อม่วง 1. เริ่มทำดอกช่อม่วงโดยปั้นแป้งให้เป็นก้อนกลม ๆ ประมาณ 3/4 นิ้ว แล้วแผ่แป้งให้เป็นแผ่นบาง ๆ กะพอให้หุ้มไส้ได้จนมิด ตักไส้ที่ผัดไว้ใส่ลงไปแล้วห่อจากมุมเข้าหากัน จากนั้นใช้มือคลึงให้แป้งหุ้มไส้จนมิด ทำจนหมด เตรียมไว้
2. เริ่มทำจีบโดยเอาทาแป้งข้าวเจ้าที่ปลายแหนบทองเหลืองเล็กน้อย เริ่มจับจีบชั้นที่ 1 โดยจับจากกึ่งกลางของขนม จับจีบวนไปเรื่อย ๆ จนครบรอบ (อย่าจับจีบให้ติดกันมาก)
3. เริ่มชั้นที่ 2 โดยจับจีบให้เอียงจากชั้นแรกเล็กน้อย (ประมาณ 45 องศา) และสับหว่างกันกับชั้นแรก จับจีบจนครบรอบ
4. เริ่มจับจีบชั้นที่ 3 ประมาณ 2-3 จีบและสับหว่างกันกับกลีบชั้นที่ 2
5. นำไปเรียงบนใบตองที่ทาน้ำมันแล้วในชุดนึ่ง โดยวางเรียงห่างกันเล็กน้อยเวลาสุกจะได้ไม่ติดกัน
6. ตั้งชุดนึ่งใช้ไฟแรง รอจนน้ำเดือดจัดจึงนำขนมไปนึ่งนานประมาณ 5 นาที
7. พอสุกแล้วนำช้อนจุ่มน้ำมันพืชตักช่อม่วงใส่จาน เสิร์ฟคู่กับผักกาดหอม และพริกขี้หนูสวน
+ ดูวิธีทำเพิ่มเติมได้ที่ ขนมช่อม่วง อาหารว่างไทยแท้ ดอกไม้สีม่วงงดงามเลอค่าน่าลิ้มลอง
+++++++++++++++++++
7. ขนมช่อมะลิซ้อนไส้กุ้ง
เห็นภาพขนมช่อมะลิซ้อนไส้กุ้ง ขนมไทยโบราณแล้วอยากทำให้คุณแม่ได้ลองชิม สูตรจาก คุณคุ้มข้าวกล้อง สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม สูตรนี้มีการจับจีบเป็นดอกมะลิสวยงาม สอดไส้กุ้งสับแสนอร่อย ตบท้ายก็ราดกะทิ โรยกระเทียมเจียว ลองซ้อมมือกันไหม
ส่วนผสม ขนมช่อมะลิซ้อนไส้กุ้ง • แป้งข้าวเจ้า 2 ถ้วย
• แป้งเท้ายายม่อม 2 ช้อนโต๊ะ
• แป้งมันสำปะหลัง 2 ช้อนโต๊ะ
• กุ้งสับ
• หอมใหญ่
• รากผักชี
• กระเทียม
• พริกไทย
• น้ำมันพืช
• น้ำลอยดอกมะลิ 2 ถ้วย (หรือดอกชมนาด หรือกระดังงาลนไฟ)
• เครื่องปรุงรส ได้แก่ เกลือ ซีอิ๊วขาว และพริกไทย
• น้ำกะทิ
• กระเทียมเจียว
วิธีทำขนมช่อมะลิซ้อนไส้กุ้ง 1. นำแป้งข้าวเจ้า แป้งเท้ายายม่อม และแป้งมัน ใส่ลงในภาชนะที่มีฝาปิดแล้วอบควันเทียนเอาไว้ โดยจุดเทียนอบให้ไฟลุกละลายถึงเนื้อเทียนแล้วค่อยดับไฟ ปิดฝาให้ควันกรุ่นอยู่ในหม้อ พอควันหมดก็จุดใหม่ ทำซ้ำเช่นนี้ 2-3 รอบ
2. ระหว่างที่รออบควันเทียน ก็มานั่งแกะกุ้ง โดยรีดมันกุ้งเก็บไว้ด้วย จากนั้นก็นำกุ้งไปสับ แล้วใส่มันกุ้งที่รีดไว้ลงไปสับผสมด้วยกัน
3. โขลกรากผักชี กระเทียม และพริกไทย เตรียมไว้
4. ตั้งกระทะใส่น้ำมันนิดหน่อยพอให้เคลือบกระทะ นำเครื่องโขลกลงไปผัดให้หอม ใส่หอมใหญ่สับลงไป ผัดจนเหลือง
5. ใส่กุ้งสับลงไป ผัดคลุกเคล้าให้เข้ากัน ปรุงรสด้วยเกลือ ซีอิ๊วขาว และพริกไทย ให้มีรสเค็มกว่าปกตินิดหน่อย เพื่อที่กินกับแป้งจะได้อร่อยพอดีกัน ผัดจนส่วนผสมแห้งเล็กน้อย พอปั้นหรือจับตัวเป็นก้อนได้ พักส่วนผสมไว้
6. นำแป้งที่อบควันเทียนไว้เรียบร้อยแล้วใส่ในอ่างผสม เติมนำน้ำลอยดอกมะลิลงไป รอให้ละลายเข้ากันจะได้น้ำแป้งสีขาวข้น จากนั้นก็นำน้ำแป้งมากรองด้วยผ้าขาวบาง แล้วนำไปกวนด้วยไฟอ่อน ๆ (เทใส่กระทะทอง หรือหม้อเคลือบกวนก็ได้) จนส่วนผสมเริ่มแห้ง และล่อนออกจากหม้อ จากนั้นก็นำออกมานวดต่ออีกสักพัก
8. แบ่งแป้งเป็นลูกกลม ๆ ขนาดเท่า ๆ กัน แผ่ก้อนแป้งเป็นแผ่นบาง แล้วใช้มือคลึงให้เป็นรูปหม้อ ตักไส้กุ้งที่เตรียมไว้ใส่ตรงกลางแป้ง แล้วห่อให้มิดไส้ คลึงไว้ให้เป็นลูกกลม ๆ
9. ใช้แหนบทองเหลืองหัวแบนจีบรอบ ๆ ขนม เพื่อที่จะทำให้เป็นรูปดอกมะลิ โดยจับจีบวน ๆ ไปให้เป็นดอกขึ้นมา (จะจีบจากด้านล่างหรือด้านบนก็ได้ตามถนัด) ทาน้ำมันที่ขนมเล็กน้อย แล้วนำไปนึ่ง โดยใช้ไฟแรง นึ่งประมาณ 10 นาที พอขนมเริ่มสุกนิ่ม และใสก็ยกลง
10. จัดขนมช่อมะลิซ้อนใส่จาน ราดกะทิ โรยกระเทียมเจียว
+ ดูวิธีทำเพิ่มเติมได้ที่ ขนมช่อมะลิซ้อนไส้กุ้ง เมนูเด็ดบอกรักคุณแม่
+++++++++++++++++++
8. ขนมเทียนแก้ว
ปกติหลายคนจะคุ้นเคยกับขนมเทียนที่ใช้ไหว้ในเทศกาลตรุษจีน สำหรับปีนี้อยากชวนมาทำขนมเทียนแก้ว เป็นขนมไทยโบราณหากินยาก แค่เปลี่ยนตัวขนมที่ทำจากแป้งข้าวเหนียวมาใช้แป้งถั่วเขียว ทำให้ตัวขนมใส มองเห็นไส้ขนมอยู่ตรงกลาง สูตรนี้ใส่ไส้เค็ม ใครจะดัดแปลงเป็นไส้มะพร้าวก็ตามชอบเลยค่ะ
ส่วนผสม แป้งขนมเทียนแก้ว • แป้งถั่วเขียว 1 ถ้วย
• น้ำตาลทราย 1+1/2 ถ้วย
• น้ำลอยดอกมะลิ (หรือน้ำผสมน้ำหอมกลิ่นมะลิ) 5 ถ้วย
• ใบตอง สำหรับห่อขนม
ส่วนผสม ไส้ขนมเทียน (เค็ม) • ถั่วเขียวซีกเราะเปลือก 1 กิโลกรัม
• หอมแดง
• พริกไทย
• น้ำมันพืช (สำหรับผัด)
• เกลือป่น
• น้ำตาลทราย
วิธีทำไส้ขนมเทียน 1. ล้างถั่วเขียวซีกเราะเปลือกให้สะอาด แช่ทิ้งไว้อย่างน้อย 2 ชั่วโมง หรือข้ามคืน จากนั้นนำไปนึ่งจนสุก พักทิ้งไว้จนเย็นสนิท
2. โขลกหอมแดงกับพริกไทยเข้าด้วยกันจนละเอียด ใส่ถั่วเขียวนึ่งลงโขลกพอหยาบ
3. ใส่น้ำมันพืชลงในกระทะ ใส่ส่วนผสมไส้ลงผัดจนหอม ปรุงรสด้วยเกลือป่น และน้ำตาลทราย ชิมรสตามชอบ ให้มีรสหวาน เค็ม เผ็ด ปิดไฟ ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้จนเย็น ปั้นเป็นก้อนกลม เตรียมไว้
วิธีทำขนมเทียนแก้ว 1. ใส่น้ำตาลทรายและน้ำลอยดอกมะลิลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟ เคี่ยวจนเป็นน้ำเชื่อม ปิดไฟ ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้จนเย็น
2. ผสมแป้งถั่วเขียวและน้ำลอยดอกมะลิให้เข้ากัน กรองด้วยตะแกรง จากนั้นเทใส่กระทะทองเหลือง ใส่น้ำเชื่อมที่เตรียมไว้ ยกขึ้นตั้งไฟอ่อน กวนจนส่วนผสมแป้งสุกและใส ปิดไฟ ยกลงจากเตา พักไว้จนอุ่น
3. ตักส่วนผสมแป้งลงในกรวยใบตอง ตามด้วยไส้ ห่อเป็นทรงสามเหลี่ยมให้สวยงาม
+ ดูวิธีทำเพิ่มเติมได้ที่ ขนมเทียนแก้ว ขนมไทยเหนียวนุ่มที่คุณอาจไม่เคยรู้ว่ามี
+++++++++++++++++++
9. ขนมดอกจอก
สมัยเด็ก ๆ เคยกินขนมดอกจอกที่แม่ค้าหาบมาขายหน้าบ้าน แต่ ณ ปัจจุบันอยากกินทำไมหายากสุด ๆ วันหยุดนี้ก็ไม่ได้ออกไปไหนไปหาซื้อส่วนผสมมาทำกินเองดีกว่า ชอบดอกขนาดไหนก็ไปหาซื้อพิมพ์ไซส์นั้นเลยค่ะ
ส่วนผสม ขนมดอกจอก • แป้งข้าวเจ้า 350 กรัม
• แป้งมัน 50 กรัม
• น้ำตาลทราย 1 ถ้วย
• เกลือป่น (เล็กน้อย)
• น้ำปูนใส 1 ถ้วย
• หัวกะทิ 1 ถ้วย
• ไข่ไก่ 1 ฟอง
• งาดำคั่ว
• น้ำมันพืช (สำหรับทอด)
• พิมพ์สำหรับทำขนมดอกจอก
วิธีทำขนมดอกจอก 1. ผสมแป้งข้าวเจ้า แป้งมัน น้ำตาลทราย และเกลือ ให้เข้ากัน
2. เติมน้ำปูนใสและหัวกะทิลงไป ตีจนเป็นเนื้อเดียวกัน ใส่ไข่ลงไป ตีผสมจนเข้ากันอีกครั้ง จากนั้นเติมงาดำลงไป พักแป้งไว้สักครู่
3. ใส่น้ำมันพืชลงในกระทะ (กะพอให้สูงท่วมพิมพ์ขนมดอกจอก) เปิดไฟปานกลาง พอน้ำมันร้อนนำพิมพ์ลงไปแช่ในน้ำมัน พอจนพิมพ์ร้อนจัด ให้ยกขึ้นมาวางลงบนกระดาษซับน้ำมัน
4. พอน้ำมันแห้งแล้วนำพิมพ์ลงไปจุ่มลงในส่วนผสมแป้ง โดยเว้นให้เหลือขอบเล็กน้อยจะได้ถอดพิมพ์ได้ง่าย ยกพิมพ์ลงไปทอดในน้ำมัน ทอดจนแป้งเริ่มสุกและขนมเริ่มล่อนออกจากพิมพ์ ค่อย ๆ เขย่าพิมพ์ให้หลุดจากตัวแป้ง ทอดต่อจนสุกเหลืองกรอบทั้งสองด้าน ตักขึ้นสะเด็ดน้ำมัน
5. นำขนมไปวางบนก้นแก้วหรือชามคว่ำ (ขนาดพอ ๆ กับชิ้นขนมแล้ว) แล้วค่อย ๆ ดัดกลีบขนมลง พักทิ้งไว้จนเย็น จัดเสิร์ฟ
+ ดูวิธีทำเพิ่มเติมได้ที่ ขนมดอกจอก ขนมไทยโบราณหอมกรอบ ทำง่ายขายคล่อง
+++++++++++++++++++
10. ขนมจีบนกไทย
ถ้าอยากทำขนมจีบเอาใจคนพิเศษ นี่เลยขอนำเสนอขนมจีบนกไทย สูตรจาก คุณหอมกาแฟ สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ขนมไทยโบราณที่ต้องใช้ความประณีตในการจับจีบตัวแป้ง ให้เป็นตัวนก มาพร้อมส่วนผสมไส้กุ้ง ถ้าใครทำให้นะ รักตายเลย
ส่วนผสม ไส้ขนมจีบ • กระเทียม 3 กลีบ
• รากผักชี 4-5 ราก
• พริกไทย (ปริมาณมาก-น้อยตามชอบ)
• หอมใหญ่ (ขนาดกลาง) สับละเอียด 1 หัว
• เนื้อกุ้งสับละเอียด 400-500 กรัม
• น้ำตาลปี๊บ 2 ช้อนโต๊ะ
• น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ
• เกลือ 1 ช้อนชา
• ถั่วลิสงคั่วบดหยาบ
ส่วนผสม แป้งขนมจีบ • แป้งข้าวเจ้า 1 ถ้วย
• แป้งมัน 2 ช้อนโต๊ะ
• แป้งเท้ายายม่อม 2 ช้อนโต๊ะ
• หัวกะทิ 3 ช้อนโต๊ะ
• น้ำเปล่า 1 ถ้วย
• สีผสมอาหารสีเหลือง, สีชมพู, สีฟ้า, สีม่วง
หมายเหตุ : แป้งน้อยกว่าไส้ไปหน่อย ก็เลยทำเบิ้ลสูตร ถ้าใครไม่อยากทำเยอะก็ลดไส้ลงได้
อุปกรณ์ • ชุดนึ่ง
• ใบตอง
• แหนบ (สำหรับจับจีบขนม)
อื่น ๆ • แครอท
• งาดำ
• น้ำมันกระเทียมเจียว
• ผักกาดหอม
• ผักชี
• พริกชี้ฟ้าแดง
วิธีผัดไส้ขนมจีบ 1. โขลกรากผักชี กระเทียม และพริกไทยเข้าด้วยกัน เตรียมไว้
2. ตั้งกระทะแล้วใส่น้ำมันพืชลงไปเล็กน้อย พอร้อนใส่เครื่องที่โขลกไว้ลงไปผัดให้หอม ใส่หอมใหญ่สับลงไปผัดจนนิ่ม ใส่เนื้อกุ้งสับลงไปผัดให้สุกเล็กน้อย
3. ปรุงรสด้วยน้ำตาลปี๊บ ตามด้วยน้ำตาลทราย และเกลือ ผัดผสมให้เข้ากันจนเริ่มงวด
4. ใส่ถั่วลิสงคั่วบด ผัดให้เข้ากันจนแห้งจนสามารถปั้นเป็นก้อนได้ ตักใส่จาน พักทิ้งไว้จนเย็น
5. ระหว่างที่รอไส้เย็น เตรียมผักทั้งหมดให้พร้อม หั่นแครอทเป็นสามเหลี่ยมสำหรับทำเป็นปากนก และเตรียมงาดำสำหรับทำเป็นตาเอาไว้
6. พอส่วนผสมไส้เย็นแล้ว นำมาปั้นเป็นก้อนกลม ๆ ขนาดพอดีคำ เตรียมไว้
วิธีทำแป้งขนมจีบ 1. ผสมแป้งข้าวเจ้า แป้งมัน และแป้งเท้ายายม่อมเข้าด้วยกันในอ่างผสม ใส่หัวกะทิลงไป นวดผสมด้วยมือ
2. เติมน้ำเปล่าลงไป ใช้มือนวดผสมจนแป้งละลายและไม่เป็นเม็ด เทกรองผ่านผ้าขาวบาง เทส่วนผสมแป้งลงกวนในกระทะทองด้วยไฟอ่อน กวนจนแป้งล่อนออกจากกระทะ
3. นำมานวดโดยโรยแป้งมันลงไปเล็กน้อยเพื่อกันติดด้วย ใช้ตัวช่วยนวดแป้งป้องกันมือพอง พอแป้งอุ่นแล้วก็ใช้มือนวดแป้งตามปกติ
4. แบ่งแป้งเป็น 4 ส่วนแล้วนวดผสมกับสีผสมอาหารทั้ง 4 สี (ผสมสีกับแป้งนิดเดียวพอ สีจะได้ออกมาแบบธรรมชาติ
5. ห่อแป้งแต่ละสีด้วยพลาสติกถนอมอาหาร (แป้งจะได้ไม่แห้ง) จากนั้นตัดแป้งแต่ละสีเป็นก้อน ๆ ขนาดให้ใหญ่กว่าไส้นิดหนึ่ง
6. ปั้นแป้งเป็นก้อนกลม ๆ แล้วขึ้นรูปให้คล้ายผลชมพู่ กดก้นให้เป็นเบ้าลึก (พอให้ใส่ไส้ได้) นำไส้ใส่ลงไปในหลุมแป้ง แล้วห่อปิดแป้งให้มิด จากนั้นทำให้รูปร่างให้เป็นนก ใส่ปากแครอท ติดตางาดำ เตรียมไว้
7. ใช้แหนบบีบเพื่อทำจีบที่ตัวขนมให้มีลักษณะคล้ายปีกนกให้สวยงาม
8. ใส่ขนมจีบลงในชุดนึ่งที่รองใบตองไว้ พรมน้ำลงไป จากนั้นปิดฝานึ่งด้วยไฟแรง นาน 5 นาที
9. เมื่อครบ 5 นาทีให้พรมน้ำอีกครั้ง จากนั้นทาน้ำมันกระเทียมเจียวให้ทั่วขนม
10. จัดใส่จาน เสิร์ฟพร้อมผักกาดหอม ผักชี และพริกชี้ฟ้าแดง
+ ดูวิธีทำเพิ่มเติมได้ที่ ขนมจีบนกไทย อาหารว่างไทยโบราณหากินยาก
+++++++++++++++++++
11. ขนมฝักบัว
นึกถึงความอร่อยของขนมฝักบัวหรือขนมดอกบัวเหมือนกันไหม มาทำขนมไทยโบราณชนิดนี้อร่อยย้อนวัยกับครอบครัวกันเถอะ สูตรนี้ใส่กล้วยหอมเพิ่มกลิ่นหอมและใส่น้ำใบเตยให้มีสีเขียวสวย แป้งนุ่มขอบกรอบ ชิ้นเดียวคงไม่พอ
ส่วนผสม ขนมฝักบัว • แป้งข้าวเจ้า 3 ถ้วย
• แป้งข้าวเหนียว 1 ถ้วย
• น้ำตาลปี๊บ 1 ถ้วย
• กล้วยหอมสุก 1 ลูก (บดละเอียด)
• ใบเตย 20 ใบ
• สีผสมอาหารสีเขียว 1 ช้อนชา
• น้ำมันพืช (สำหรับทอด)
วิธีทำขนมฝักบัว 1. ล้างใบเตยให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ใส่ลงในเครื่องปั่น เติมน้ำเปล่าลงไปพอท่วม ปั่นจนละเอียด จากนั้นกรองและคั้นเอาแต่น้ำ เตรียมไว้
2. ผสมแป้งข้าวเจ้า แป้งข้าวเหนียว และกล้วยหอม ค่อย ๆ เทน้ำใบเตยลงไปนวดให้เข้ากัน ใส่สีผสมอาหารสีเขียวลงไป
3. ใส่น้ำตาลปี๊บลงไปนวดกับแป้งให้ละลายจนมีลักษณะข้นเหนียว (เหมือนนมข้นหวาน) พักแป้งทิ้งไว้อย่างน้อย 30 นาที
4. ใส่น้ำมันพืชลงในกระทะขนาดเล็กสูงประมาณ 1/2 ของกระทะ นำขึ้นตั้งไฟอ่อน ๆ พอน้ำมันร้อน กวนแป้งให้เข้ากันแล้วตักหยอดลงตรงกลางกระทะ (ระวังอย่าให้แป้งใต้กระบวยหยดลงในกระทะ) ขนมจะค่อย ๆ พองจากด้านนอกเข้าสู่ด้านในจนปิดสนิท รอจนขนมเหลืองและลอยขึ้นจากน้ำมันแล้วพลิกกลับด้าน จากนั้นตักน้ำมันราดตรงกลางของขนมเพื่อให้ตรงกลางขนมปูดขึ้น ตักขึ้นสะเด็ดน้ำมัน พร้อมเสิร์ฟ
+ ดูวิธีทำเพิ่มเติมได้ที่ ขนมฝักบัวใบเตย ขนมไทยโบราณเหนียวนุ่มหวานกรอบ
+++++++++++++++++++
12. ขนมไข่หงส์
ติดใจขนมไข่หงส์ ขนมไทยโบราณจากปากซอย คิดว่าถ้าทำเองคงไม่ยากเย็นอะไร สูตรจาก คุณแม่หญิงกระจิดริด สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม สูตรนี้ใส่มันเทศเพิ่มรสสัมผัส สอดไส้เค็มหอมพริกไทย เคลือบน้ำตาลเกล็ด ปั้นลูกเล็กหรือใหญ่ก็เอาที่ชอบเลยค่ะ
ส่วนผสม แป้งขนมไข่หงส์ • แป้งข้าวเหนียว 1+1/2 ถ้วย
• แป้งข้าวเจ้า 1/2 ถ้วย
• มันเทศ (ต้มสุกแล้วบด) 1/3 ถ้วย (หรือใช้มันฝรั่งแทนได้)
• น้ำตาลปี๊บ 1/2 ถ้วย
• กะทิสำเร็จรูปกล่องเล็ก 1 กล่อง
• น้ำเย็น
หมายเหตุ : สูตรนี้ใช้มันเทศเป็นส่วนประกอบ ถ้าใครหามันเทศไม่ได้ก็ใช้มันฝรั่งแทนได้
ส่วนผสม ไส้ขนมไข่หงส์ • ถั่วทองนึ่งบด (ปริมาณตามชอบ)
• เกลือป่น (ปริมาณตามชอบ)
• น้ำตาลทราย (ปริมาณตามชอบ)
• รากผักชี กระเทียม และพริกไทย โขลกเข้าด้วยกัน (ปริมาณตามชอบ)
• หอมแดงเจียว (อย่าทิ้งน้ำมันที่ใช้เจียว)
ส่วนผสม น้ำตาลสำหรับเคลือบ • น้ำ 1/4 ถ้วย
• น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วย
วิธีทำแป้งขนมไข่หงส์ 1. ทำแป้ง โดยผสมแป้งข้าวเหนียว แป้งข้าวเจ้า มันเทศบด และน้ำตาลปี๊บ (ถ้าจะให้น้ำตาลปี๊บละลายง่าย ให้เอาเข้าไมโครเวฟก่อน อุ่นให้น้ำตาลนิ่ม) ค่อย ๆ เติมกะทิลงไป ถ้ากะทิหมดแต่ส่วนผสมยังแห้งอยู่ให้เติมน้ำเพิ่มได้ ถ้าใครทำเหลวไปก็ไม่ต้องเททิ้ง ให้เพิ่มแป้งข้าวเหนียวเข้าไป นวดจนส่วนผสมทั้งหมดเข้ากัน พักแป้งประมาณ 1 ชั่วโมง
2. ทำไส้ โดยตั้งกระทะ ใส่น้ำมันที่เจียวหอมไว้ ใส่เครื่องโขลกลงไปผัดให้หอม ใส่ถั่วทองลงไปผัดให้เข้ากัน ปรุงรสด้วยน้ำตาลทรายและเกลือป่น ผัดพอเข้ากัน ใส่หอมแดงเจียว ตักขึ้นพักไว้ให้เย็นตัวลง
3. ปั้นไส้ โดยวิธีการบีบไส้ให้พอแน่น แล้วค่อยคลึงให้เป็นลูกกลม เตรียมไว้
4. ใช้น้ำมันทาที่มือและทาถาดขนมจะได้ไม่ติดกัน นำแป้งที่พักไว้มาปั้นเป็นก้อนกลม แล้วกดให้แบน วางไส้ใส่ลงไป แล้วห่อให้มิด จากนั้นคลึงให้เป็นก้อนกลมอีกครั้ง
5. ตั้งกระทะใส่น้ำมันเปิดไฟแรงให้น้ำมันร้อนจัด ก่อนจะทอดให้ลดไฟลงเป็นไฟปานกลาง (ก่อนใส่ให้คลึงแป้งอีกครั้งเพื่อเช็กรอยแตกและจะทำให้รอยกดทับที่วางบนถาดหายไป) ใส่ไข่หงส์ลงไปทอดจนสีเหลืองนวล ตักขึ้นสะเด็ดน้ำมัน พักไว้
6. ทำน้ำตาลเคลือบ โดยใส่น้ำกับน้ำตาลทรายลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟปานกลาง คนผสมจนน้ำตาลทรายละลายจนเป็นน้ำเชื่อมและตกทราย (ตกผลึก) ข้าง ๆ กระทะ จากนั้นใส่ไข่หงส์ที่ทอดแล้วพักไว้ลงไป คนจนน้ำตาลเริ่มเคลือบไข่หงส์ และตกทราย (ตกผลึก) จากนั้นตักขึ้นพักไว้ รอให้เย็น พร้อมเสิร์ฟ
+ ดูวิธีทำเพิ่มเติมได้ที่ ขนมไข่หงส์ ขนมไทยอร่อย ๆ มาแล้วจ้า
+++++++++++++++++++
13. ขนมช่อผกากรอง
ปิดท้ายกันด้วยขนมไทยโบราณชื่องามอย่างขนมช่อผกากรอง หรือขนมช่อแก้ว สูตรจาก คุณ Poppy farm สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม สูตรนี้ใส่ไส้มันหวาน ใช้แป้งสีตามชอบ ทำหลาย ๆ ชิ้นแจกเพื่อน ๆ ได้นะคะ
ส่วนผสม แป้งขนมช่อผกากรอง • แป้งเค้ก 1+1/2 ถ้วย
• กะทิ 250 มิลลิลิตร
• น้ำตาลทราย 1/4 ถ้วย
• สีผสมอาหารตามชอบ
ส่วนผสม ไส้มันหวาน • มันหวานญี่ปุ่น 180 กรัม
• กะทิ 150 มิลลิลิตร
• น้ำตาลทราย 40 กรัม
วิธีทำขนมช่อผกากรอง 1. ทำแป้ง โดยผสมแป้งเค้ก กะทิ และน้ำตาลทราย คนให้เข้ากัน เอาขึ้นตั้งไฟ กวนแป้งด้วยไฟอ่อนจนมีลักษณะเหนียวข้น ไม่ติดไม้พายและไม่ติดกระทะ พักไว้ให้แป้งเย็น
หมายเหตุ : ขอขอบคุณสูตรแป้งจาก ผศ. ดร.ปณิตา วรรณพิรุณ
2. ทำไส้มันหวาน โดยบดมันหวานให้ละเอียด นำไปกวนด้วยไฟอ่อนกับกะทิ ค่อย ๆ ใส่น้ำตาลทรายแล้วกวนจนไส้ไม่ติดพายก็ใช้ได้ พักไว้ให้เย็น
3. พอแป้งเย็นแล้วก็นวดให้เนียนอีกครั้ง แล้วแบ่งส่วนตามจำนวนสีที่ต้องการทำ ใส่สีผสมอาหารลงไปแล้วนวดให้เนียน
4. นำไส้มันหวานที่พักจนเย็นแล้ว มาปั้นเป็นทรงกลม
5. นำแป้งมาคลึงและกดให้แบนเป็นแผ่น แล้วห่อไส้มันหวานให้เรียบร้อย ใช้แหนบช่อม่วงแบบปลายใบไม้ หรือเป็นแบบปลายพัด ค่อย ๆ จับจีบกลีบขนมเบา ๆ ระวังกลีบขาด ทำจนครบรอบ แล้วขึ้นแถวใหม่ โดยให้จีบกลีบสับระหว่างกลีบของแถวแรก จะได้สวยงาม ทำไปประมาณ 3-4 ชั้น ให้ครบทั้งดอก จัดใส่ภาชนะ
+ ดูวิธีทำเพิ่มเติมได้ที่ ขนมช่อผกากรองไส้มันหวาน สูตรขนมหวานงามล้ำอย่างไทย
ส่วนตัวชอบกินขนมไทยนะคะ โดยเฉพาะขนมไทยโบราณหากินยาก นี่แค่เห็นภาพก็น้ำย่อยเดินแล้ว ต่อไปนี้คงไม่ต้องไปหาซื้อให้เมื่อยตุ้ม ไหน ๆ ก็มีสูตรแล้วลองทำเองเลยดีกว่า