ขายของกินอะไรดี ถ้ายังคิดไม่ออกก็ลองมาดู 10
ธุรกิจแฟรนไชส์อาหารที่น่าสนใจ ถึงมีเงินลงทุนไม่มากก็เปิดร้านได้ คืนทุนไว
ได้กำไรงาม
ธุรกิจแฟรนไชส์ เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับคนที่อยากเริ่มต้นมีธุรกิจเป็นของตัวเอง เพราะเจ้าของแฟรนไชส์มีการวางระบบสำเร็จรูปมาให้เราแล้ว ผู้ทำธุรกิจจึงไม่ต้องมาเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ตั้งแต่แรก ทำให้ลดความเสี่ยงเรื่องการลงทุนไปได้ระดับหนึ่ง
โดยเฉพาะกับแฟรนไชส์ประเภทอาหารและเครื่องดื่ม ที่เป็นทางเลือกลำดับแรก ๆ ที่หลายคนสนใจจะลงทุน เพราะใช้เงินลงทุนที่ไม่สูงมาก เมื่อเทียบกับประเภทอื่น ๆ และเป็นสินค้าที่ขายง่าย เพราะทุกคนต้องดื่มต้องกินอยู่แล้ว แต่ปัญหาคือ แล้วจะขายอะไรดี ถึงจะขายดิบขายดี โดนใจลูกค้า วันนี้เราจึงขอรวบรวมเหล่าธุรกิจแฟรนไชส์อาหาร 10 ประเภท ที่น่าสนใจมาให้ศึกษาไว้เป็นไอเดีย
1. ชานมไข่มุก
ชานมไข่มุก ยังคงเป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องในเมืองไทย ด้วยรสชาติของชาที่หอมหวาน บวกกับความเหนียวนุ่มของเม็ดไข่มุก ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งการลงทุนทำร้านชานมไข่มุกยังมีความยืดหยุ่นสูง จะตั้งเป็นแบบร้านเล็ก ๆ ก็ได้ หรือหากใครที่มีพื้นที่และทำเลที่ดี ก็ยังสามารถทำเป็นร้านคาเฟ่นั่งเล่นได้อีกด้วย ธุรกิจนี้จึงเจาะกลุ่มตลาดวัยรุ่น วัยทำงานได้เป็นอย่างดี
สำหรับร้านแฟรนไชส์ชานมไข่มุกที่น่าสนใจก็อย่างเช่น
- Ochaya
มีขนาดร้านให้เลือกถึง 4 ขนาด ตั้งแต่ 15 ตารางเมตรไปจนถึง 60 ตารางเมตร โดยมีค่าแฟรนไชส์ อยู่ที่ 300,000 บาท
- Monkey Shake
เป็นร้านแฟรนไชส์ที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก ใช้พื้นที่เพียงประมาณ 6-15 ตารางเมตร งบประมาณลงทุนเบื้องต้นประมาณ 320,000-490,000 บาท
- Gatto Cha
เป็นแฟรนไชส์ชานมไข่มุกที่ใช้เงินลงทุนเริ่มต้นไม่สูงมากประมาณ 70,000 - 155,000 บาท และมีข้อดีตรงที่ไม่มีค่าธรรมเนียมรายปี รายเดือน และค่าต่อสัญญา
2. บิงซู ต้องบอกว่าเป็นของหวานที่ยังคงมีกระแสแรงต่อเนื่อง สำหรับ "บิงซู" หรือน้ำแข็งไส สไตล์เกาหลี ที่มีลักษณะเป็นน้ำแข็งไสเกล็ดหิมะรสชาติต่าง ๆ ราดด้วยท็อปปิ้งหลากชนิด เช่น ผลไม้ต่าง ๆ ถั่วแดง ชีสเค้ก ฯลฯ ซึ่งเหมาะกับอากาศร้อน ๆ ของบ้านเราสุด ๆ
นอกจากนี้ บิงซู ยังออกแบบให้มีหน้าตาน่ากิน จึงสามารถตีตลาดผู้ที่ชื่นชอบถ่ายรูปลงโซเชียลให้เพื่อนกดไลค์ได้ด้วย โดยร้านแฟรนไชส์บิงซูที่น่าสนใจ เช่น
- Bingsu Boy
มีรูปแบบแฟรนไชส์ให้เลือกซื้อถึง 6 แพ็กเกจ ราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 24,900 บาท จนไปถึง 49,900 บาท ซึ่งทุกแพ็กเกจจะมีการสอนวิธีทำแบบละเอียด และเป็นรูปแบบขายขาดไม่มีค่าธรรมเนียม พร้อมดูแลอุปกรณ์ฟรีตลอดชีพ
- Ice Frost Dessert cafe
จุดขายของร้านนอกจากน้ำแข็งไสแล้วยังมีขนมปังปิ้ง เค้ก และเครื่องดื่มต่าง ๆ หากสนใจต้องลองสอบถามค่าแฟรนไชส์จากทางร้านโดยตรง โดยมีระยะเวลาสัญญา 10 ปี และคิดค่ารอยัลตี้ 3% จากยอดขายต่อเดือน บวกกับค่าการตลาด 3% จากยอดขายต่อเดือน
- The Freeztory Dessert
เป็นแฟรนไชส์บิงซูที่ใช้เงินลงทุนไม่สูงมาก มีให้เลือก 4 รูปแบบ ใช้เงินลงทุนเริ่มต้นประมาณ 39,000 บาท ซึ่งร้านจะมีบริการช่วยทำโปรโมชั่น พร้อมทำสื่อ ปรับเปลี่ยนหมุนเวียนตามฤดูกาลต่าง ๆ เพื่อให้เมนูไม่จำเจ
3. ลูกชิ้นปลาระเบิด
เป็นอีกหนึ่งแฟรนไชส์ที่น่าสนใจเช่นกัน เพราะมีจุดเด่นที่ใช้เงินลงทุนไม่สูงมาก ต้นทุนต่ำ และเป็นของกินเล่นขายง่าย เจาะลูกค้าได้ทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นเด็กเล็ก เด็กโต หรือผู้ใหญ่ ยิ่งถ้าตั้งในทำเลดี ๆ จะทำเป็นอาชีพหลัก หรืออาชีพเสริมเพิ่มรายได้ในครอบครัวก็น่าสนใจ ซึ่งปัจจุบันนี้แฟรนไชส์ลูกชิ้นปลามีให้เลือกเยอะมาก แต่ละแห่งก็มีจุดเด่นของธุรกิจที่แตกต่างกันไป ถ้าสนใจก็ลองเลือกดูจากข้างล่างนี้
- แพนด้า ลูกชิ้นปลาระเบิด
ใช้เงินลงทุนน้อย โดยเริ่มต้นเพียง 3,900 ถึง 11,900 บาท และไม่มีค่าธรรมเนียมรายเดือน รายปี
- ซูโม่ ลูกชิ้นปลาระเบิดพุงแตก
ราคาแฟรนไชส์เริ่มต้นเพียง 1,990 บาทก็สามารถขายได้ และมีให้เลือกหลากหลายรูปแบบ ทั้งเคาน์เตอร์ รถเข็น หรือมอเตอร์ไซค์
- ไจแอ้นลูกชิ้นปลาระเบิดเถิดเทิง
ราคาแฟรนไชส์มีให้เลือกเยอะมาก เริ่มต้นตั้งแต่ 2,990 บาท ไปจนถึงแบบจัดเต็มเซตใหญ่ระดับ 149,000 บาท
ภาพจาก เฟซบุ๊ก Mango Mania
5. ร้านอาหารญี่ปุ่น
ร้านอาหารญี่ปุ่นยังคงเป็นธุรกิจที่ทำเงินในประเทศไทยได้อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งยังมีทิศทางเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ใน อนาคต จากเมนูที่มีเอกลักษณ์ และรสชาติที่ถูกปากคนไทย แถมยังเป็นธุรกิจที่สามารถเจาะกลุ่มลูกค้าได้ตั้งแต่ระดับล่าง ไปจนถึงระดับบนที่มีกำลังซื้อสูง ทำให้ธุรกิจแฟรนไชส์ร้านอาหารญี่ปุ่น กลายเป็นอีกหนึ่งประเภทที่มีความน่าสนใจ เหมาะกับการลงทุนในระยะยาวเป็นอย่างมาก ใครสนใจก็ลองพิจารณากันดู อย่างเช่น
7. กาแฟสด
8. สเต๊ก
เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับร้านสเต๊ก เพราะจับกลุ่มลูกค้าได้ทุกเพศทุกวัย และสามารถตีตลาดระดับกลางจนถึงระดับล่างเพื่อเป็นตัวเลือกของคนที่ชื่นชอบการทานสเต๊ก แต่สู้ราคาร้านในห้างไม่ไหว ที่สำคัญก็คือ เป็นธุรกิจอาหารที่ทำได้ง่าย มั่นใจได้ว่ารสชาติจะไม่ผิดเพี้ยนจากต้นฉบับ เพราะเจ้าของแฟรนไซส์ได้หมักเนื้อมาให้แล้ว เราก็แค่ทำเนื้อให้สุก เท่านี้ก็จะมีสเต๊กรสชาติอร่อย ๆ ไปเสิร์ฟลูกค้าแล้ว ลองมาดูกันว่ามีร้านไหนน่าสนใจบ้าง
- สเต๊กลุงใหญ่มินิ
ใช้เงินลงทุนเริ่มต้นเพียง 9,900 บาท สำหรับร้านรูปแบบตลาดนัดซึ่งชูจุดขายว่าเป็นสเต๊กราคาไม่แพง เพราะเริ่มต้นแค่จานละ 39 บาทเท่านั้น ส่วนใครมีพื้นที่มากหน่อยอยากได้ร้านใหญ่ขึ้น ก็มีรูปแบบอื่น ๆ ให้เลือกอีกมากมายหลายราคา ที่สำคัญยังการันตีความสำเร็จให้ผู้ซื้อแฟรนไชส์ หากไม่พอใจก็ยินดีคืนเงินด้วย
- Charlie's Steak
มีค่าแฟรนไชส์อยู่ที่ 19,000 บาท และใช้งบลงทุนประมาณ 30,000 ถึง 70,000 บาท ตามขนาดของร้าน
- นาเนีย สเต็ก
ร้านสเต๊กขนาดเล็กใช้เงินลงทุนต่ำประมาณ 25,000 บาท และไม่มีค่าแฟรนไชส์
9. ร้านเบเกอรี่-ขนมหวาน
แม้ว่าปัจจุบันร้านเบเกอรี่จะเปิดขึ้นมาเป็นจำนวนมาก แต่ตลาดก็ยังมีความต้องการที่สูงอยู่ และความนิยมของผู้บริโภคก็ยังสามารถเติบโตได้อีกมาก จากไลฟ์สไตล์สมัยใหม่ที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ทำให้ร้านเบเกอรี่สามารถเจาะตลาดได้ทั้งกลุ่มคนเมืองที่มีความเร่งรีบ ต้องการอาหารเช้าที่สะดวกรวดเร็ว รวมทั้งร้านเบเกอรี่หลาย ๆ แห่ง ยังปรับเปลี่ยนให้กลายเป็นคาเฟ่นั่งเล่น ให้กลุ่มเพื่อน ๆ มานัดเจอกันได้อีกด้วย โดยแฟรนไชส์ร้านขนมที่น่าสนใจ ก็อย่างเช่น
- Sugar House
ไม่จำเป็นต้องมีความรู้ในการทำขนมมาก่อนก็ทำได้ เพียงแค่รับขนมจากโรงงาน เรียนรู้วิธีทำและพร้อมขายได้เลย แถมยังกำหนดราคาขายที่เหมาะสมให้กับลูกค้าได้เอง ใช้เงินลงทุนเบื้องต้นประมาณ 50,000 บาท
- เครปกรอบวังหลัง
มีค่าแฟรนไชส์อยู่ที่ 79,000 บาท และค่าต่อสัญญาปีละ 4,000 บาท จุดเด่นของแฟรนไชส์คือ ใช้เงินลงทุนไม่มาก มีอุปกรณ์ครบพร้อมขายทันที ร้านมีขนาดเล็กทำให้เคลื่อนย้ายสะดวก เปลี่ยนทำเลขายได้ง่าย
- The Waffle
เป็นร้านเบเกอรี่ที่ขายวาฟเฟิลโดยเฉพาะ ซึ่งใช้เงินลงทุนเริ่มต้นประมาณ 100,000 บาท โดยเน้นตั้งในพื้นที่ห้างสรรพสินค้าเป็นหลัก
ภาพจาก เฟซบุ๊ก Chicken boy
10. ไก่ทอด
ไก่ทอดขึ้นชื่อว่าเป็นอาหารที่กินง่าย อิ่มท้องในราคาเบา ๆ ทำให้คนตัดสินใจควักกระเป๋าซื้อได้ไม่ยาก จึงเป็นข้อได้เปรียบของธุรกิจนี้ เพราะใช้เงินลงทุนไม่สูงมาก แต่คืนทุนไว และไม่ต้องใช้พื้นที่ขนาดใหญ่มากในการตั้งร้านด้วย ปัจจุบันเลยมีแฟรนไชส์ไก่ทอดผุดขึ้นมาให้เราเลือกลงทุนเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น
- Chicky Chic
มีร้านให้เลือกหลากหลายรูปแบบ ทั้งแบบบูธถอดประกอบได้ หรือแบบมีหน้าร้าน ใช้เงินลงทุนเริ่มต้นตั้งแต่ 30,000 บาท จนถึง 1 ล้านบาท
- Chic'ken Boy
ไม่เก็บค่าธรรมเนียมรายปี และไม่หักเปอร์เซ็นต์จากยอดขาย ใช้เงินลงทุนประมาณ 80,000 ถึง 120,000 บาท
- หน้าใหญ่ไก่ทอด
ไก่ทอดชิ้นโตและหมึกทอดไตล์ไต้หวัน จุดเด่นคือมีให้เลือกถึง 8 รสชาติ ใช้เงินลงทุนเริ่มต้นที่ 60,000 บาท ขึ้นอยู่กับขนาดร้านที่เลือก โดยเจ้าของแฟรนไชส์กล้ารับประกันเลยว่า สามารถสร้างผลกำไรได้มากกว่า 55%
ทั้งหมดนี้ก็เป็น 10 ธุรกิจแฟรนไชส์อาหารที่กระปุกดอทคอม ได้หยิบมาแนะนำเพื่อเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจของคนที่กำลังอยากลงทุนทำธุรกิจแฟรนไชส์ แต่ยังเลือกไม่ได้ว่าจะทำอะไรดี แต่อย่างไรก็ตาม ก่อนตัดสินใจลงทุนซื้อแฟรนไชส์ ก็อยากให้ทุกคนพิจารณาให้รอบคอบ และถามตัวเองก่อนว่าต้องการที่ลงทุนในธุรกิจนั้น จริง ๆ หรือไม่ เพื่อที่จะไม่ต้องเสียใจ และเสียเงินเสียทองไปกับธุรกิจที่ตัวเองไม่ได้รัก
ธุรกิจแฟรนไชส์ เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับคนที่อยากเริ่มต้นมีธุรกิจเป็นของตัวเอง เพราะเจ้าของแฟรนไชส์มีการวางระบบสำเร็จรูปมาให้เราแล้ว ผู้ทำธุรกิจจึงไม่ต้องมาเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ตั้งแต่แรก ทำให้ลดความเสี่ยงเรื่องการลงทุนไปได้ระดับหนึ่ง
โดยเฉพาะกับแฟรนไชส์ประเภทอาหารและเครื่องดื่ม ที่เป็นทางเลือกลำดับแรก ๆ ที่หลายคนสนใจจะลงทุน เพราะใช้เงินลงทุนที่ไม่สูงมาก เมื่อเทียบกับประเภทอื่น ๆ และเป็นสินค้าที่ขายง่าย เพราะทุกคนต้องดื่มต้องกินอยู่แล้ว แต่ปัญหาคือ แล้วจะขายอะไรดี ถึงจะขายดิบขายดี โดนใจลูกค้า วันนี้เราจึงขอรวบรวมเหล่าธุรกิจแฟรนไชส์อาหาร 10 ประเภท ที่น่าสนใจมาให้ศึกษาไว้เป็นไอเดีย
ชานมไข่มุก ยังคงเป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องในเมืองไทย ด้วยรสชาติของชาที่หอมหวาน บวกกับความเหนียวนุ่มของเม็ดไข่มุก ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งการลงทุนทำร้านชานมไข่มุกยังมีความยืดหยุ่นสูง จะตั้งเป็นแบบร้านเล็ก ๆ ก็ได้ หรือหากใครที่มีพื้นที่และทำเลที่ดี ก็ยังสามารถทำเป็นร้านคาเฟ่นั่งเล่นได้อีกด้วย ธุรกิจนี้จึงเจาะกลุ่มตลาดวัยรุ่น วัยทำงานได้เป็นอย่างดี
สำหรับร้านแฟรนไชส์ชานมไข่มุกที่น่าสนใจก็อย่างเช่น
- Ochaya
มีขนาดร้านให้เลือกถึง 4 ขนาด ตั้งแต่ 15 ตารางเมตรไปจนถึง 60 ตารางเมตร โดยมีค่าแฟรนไชส์ อยู่ที่ 300,000 บาท
- Monkey Shake
เป็นร้านแฟรนไชส์ที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก ใช้พื้นที่เพียงประมาณ 6-15 ตารางเมตร งบประมาณลงทุนเบื้องต้นประมาณ 320,000-490,000 บาท
- Gatto Cha
เป็นแฟรนไชส์ชานมไข่มุกที่ใช้เงินลงทุนเริ่มต้นไม่สูงมากประมาณ 70,000 - 155,000 บาท และมีข้อดีตรงที่ไม่มีค่าธรรมเนียมรายปี รายเดือน และค่าต่อสัญญา
2. บิงซู ต้องบอกว่าเป็นของหวานที่ยังคงมีกระแสแรงต่อเนื่อง สำหรับ "บิงซู" หรือน้ำแข็งไส สไตล์เกาหลี ที่มีลักษณะเป็นน้ำแข็งไสเกล็ดหิมะรสชาติต่าง ๆ ราดด้วยท็อปปิ้งหลากชนิด เช่น ผลไม้ต่าง ๆ ถั่วแดง ชีสเค้ก ฯลฯ ซึ่งเหมาะกับอากาศร้อน ๆ ของบ้านเราสุด ๆ
นอกจากนี้ บิงซู ยังออกแบบให้มีหน้าตาน่ากิน จึงสามารถตีตลาดผู้ที่ชื่นชอบถ่ายรูปลงโซเชียลให้เพื่อนกดไลค์ได้ด้วย โดยร้านแฟรนไชส์บิงซูที่น่าสนใจ เช่น
- Bingsu Boy
มีรูปแบบแฟรนไชส์ให้เลือกซื้อถึง 6 แพ็กเกจ ราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 24,900 บาท จนไปถึง 49,900 บาท ซึ่งทุกแพ็กเกจจะมีการสอนวิธีทำแบบละเอียด และเป็นรูปแบบขายขาดไม่มีค่าธรรมเนียม พร้อมดูแลอุปกรณ์ฟรีตลอดชีพ
- Ice Frost Dessert cafe
จุดขายของร้านนอกจากน้ำแข็งไสแล้วยังมีขนมปังปิ้ง เค้ก และเครื่องดื่มต่าง ๆ หากสนใจต้องลองสอบถามค่าแฟรนไชส์จากทางร้านโดยตรง โดยมีระยะเวลาสัญญา 10 ปี และคิดค่ารอยัลตี้ 3% จากยอดขายต่อเดือน บวกกับค่าการตลาด 3% จากยอดขายต่อเดือน
- The Freeztory Dessert
เป็นแฟรนไชส์บิงซูที่ใช้เงินลงทุนไม่สูงมาก มีให้เลือก 4 รูปแบบ ใช้เงินลงทุนเริ่มต้นประมาณ 39,000 บาท ซึ่งร้านจะมีบริการช่วยทำโปรโมชั่น พร้อมทำสื่อ ปรับเปลี่ยนหมุนเวียนตามฤดูกาลต่าง ๆ เพื่อให้เมนูไม่จำเจ
เป็นอีกหนึ่งแฟรนไชส์ที่น่าสนใจเช่นกัน เพราะมีจุดเด่นที่ใช้เงินลงทุนไม่สูงมาก ต้นทุนต่ำ และเป็นของกินเล่นขายง่าย เจาะลูกค้าได้ทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นเด็กเล็ก เด็กโต หรือผู้ใหญ่ ยิ่งถ้าตั้งในทำเลดี ๆ จะทำเป็นอาชีพหลัก หรืออาชีพเสริมเพิ่มรายได้ในครอบครัวก็น่าสนใจ ซึ่งปัจจุบันนี้แฟรนไชส์ลูกชิ้นปลามีให้เลือกเยอะมาก แต่ละแห่งก็มีจุดเด่นของธุรกิจที่แตกต่างกันไป ถ้าสนใจก็ลองเลือกดูจากข้างล่างนี้
- แพนด้า ลูกชิ้นปลาระเบิด
ใช้เงินลงทุนน้อย โดยเริ่มต้นเพียง 3,900 ถึง 11,900 บาท และไม่มีค่าธรรมเนียมรายเดือน รายปี
- ซูโม่ ลูกชิ้นปลาระเบิดพุงแตก
ราคาแฟรนไชส์เริ่มต้นเพียง 1,990 บาทก็สามารถขายได้ และมีให้เลือกหลากหลายรูปแบบ ทั้งเคาน์เตอร์ รถเข็น หรือมอเตอร์ไซค์
- ไจแอ้นลูกชิ้นปลาระเบิดเถิดเทิง
ราคาแฟรนไชส์มีให้เลือกเยอะมาก เริ่มต้นตั้งแต่ 2,990 บาท ไปจนถึงแบบจัดเต็มเซตใหญ่ระดับ 149,000 บาท
ภาพจาก เฟซบุ๊ก Mango Mania
4. น้ำผลไม้เพื่อสุขภาพ
ธุรกิจเครื่องดื่มยังคงได้รับความนิยมอยู่เสมอในบ้านเรา
รวมไปถึงน้ำผลไม้ก็เช่นกัน เพราะนอกจากจะช่วยดับกระหาย คลายร้อนแล้ว
ยังเข้ากับกระแสรักสุขภาพของคนในยุคปัจจุบันอีกด้วย
สำหรับแฟรนไชส์น้ำผลไม้ที่น่าสนใจ ก็อย่างเช่น
- Mango mania
มีจุดเด่นตรงที่เป็นร้านน้ำผลไม้ที่เน้นใช้วัตถุดิบคุณภาพ รวมทั้งมีทีมการตลาดที่ช่วยโปรโมทร้านค้าให้เป็นที่รู้จักอีกด้วย โดยมีแฟรนไชส์ให้เลือก 2 แบบ คือ แบบ Take away ใช้เงินลงทุนประมาณ 120,000 บาท และแบบร้านนั่งทานใช้เงินลงทุน ประมาณ 180,000 บาท
- น้ำผลไม้ อั้ยย่ะ
เป็นแฟรนไชส์น้ำผลไม้ที่เหมาะกับคนงบน้อย เพราะใช้เงินลงทุนประมาณ 19,000 บาท ไม่มีเก็บค่าแฟรนไชส์รายปี และมีจุดเด่นตรงที่ไม่ว่าราคาผลไม้จะขึ้นหรือลงในแต่ละฤดูกาล ก็จะคิดราคาน้ำผลไม้คงเดิมตลอดอายุแฟรนไชส์ จึงช่วยเซฟค่าใช้จ่ายได้พอสมควร
- Mango mania
มีจุดเด่นตรงที่เป็นร้านน้ำผลไม้ที่เน้นใช้วัตถุดิบคุณภาพ รวมทั้งมีทีมการตลาดที่ช่วยโปรโมทร้านค้าให้เป็นที่รู้จักอีกด้วย โดยมีแฟรนไชส์ให้เลือก 2 แบบ คือ แบบ Take away ใช้เงินลงทุนประมาณ 120,000 บาท และแบบร้านนั่งทานใช้เงินลงทุน ประมาณ 180,000 บาท
- น้ำผลไม้ อั้ยย่ะ
เป็นแฟรนไชส์น้ำผลไม้ที่เหมาะกับคนงบน้อย เพราะใช้เงินลงทุนประมาณ 19,000 บาท ไม่มีเก็บค่าแฟรนไชส์รายปี และมีจุดเด่นตรงที่ไม่ว่าราคาผลไม้จะขึ้นหรือลงในแต่ละฤดูกาล ก็จะคิดราคาน้ำผลไม้คงเดิมตลอดอายุแฟรนไชส์ จึงช่วยเซฟค่าใช้จ่ายได้พอสมควร
ร้านอาหารญี่ปุ่นยังคงเป็นธุรกิจที่ทำเงินในประเทศไทยได้อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งยังมีทิศทางเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ใน อนาคต จากเมนูที่มีเอกลักษณ์ และรสชาติที่ถูกปากคนไทย แถมยังเป็นธุรกิจที่สามารถเจาะกลุ่มลูกค้าได้ตั้งแต่ระดับล่าง ไปจนถึงระดับบนที่มีกำลังซื้อสูง ทำให้ธุรกิจแฟรนไชส์ร้านอาหารญี่ปุ่น กลายเป็นอีกหนึ่งประเภทที่มีความน่าสนใจ เหมาะกับการลงทุนในระยะยาวเป็นอย่างมาก ใครสนใจก็ลองพิจารณากันดู อย่างเช่น
- Mato Sushi
เป็นแฟรนไชส์ร้านซูชิ ที่ใช้เงินลงทุนเริ่มต้นเพียงประมาณ 8,000 บาท ไม่มีค่าธรรมเนียมรายปี มีจุดเด่น คือ การจัดส่งซูชิให้ถึงหน้าร้านตามออเดอร์ที่สั่งทุกอาทิตย์ ทำให้ไม่จำเป็นต้องสต็อกสินค้าไว้เป็นจำนวนมาก
- Shogun Express
มีขนาดร้านให้เลือก 3 แบบ ราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 85,000 จนถึง 225,000 บาท และต้องจ่ายค่าธรรมเนียมรายปี 10,000 บาทในปีถัดไป
- Osaka Ramen
แฟรนไชส์ร้านราเมนและข้าวแกงกะหรี่ญี่ปุ่น ที่มีค่าแฟรนไชส์อยู่ที่ 59,000 บาท มีค่าแรกเข้าปีแรก 5,000 บาท และค่าต่อสัญญาปีละ 1,500 บาท ซึ่งเจ้าของร้านการันตีด้วยตัวเองว่าคืนทุนภายใน 2 เดือนอีกด้วยนะ
เป็นแฟรนไชส์ร้านซูชิ ที่ใช้เงินลงทุนเริ่มต้นเพียงประมาณ 8,000 บาท ไม่มีค่าธรรมเนียมรายปี มีจุดเด่น คือ การจัดส่งซูชิให้ถึงหน้าร้านตามออเดอร์ที่สั่งทุกอาทิตย์ ทำให้ไม่จำเป็นต้องสต็อกสินค้าไว้เป็นจำนวนมาก
- Shogun Express
มีขนาดร้านให้เลือก 3 แบบ ราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 85,000 จนถึง 225,000 บาท และต้องจ่ายค่าธรรมเนียมรายปี 10,000 บาทในปีถัดไป
- Osaka Ramen
แฟรนไชส์ร้านราเมนและข้าวแกงกะหรี่ญี่ปุ่น ที่มีค่าแฟรนไชส์อยู่ที่ 59,000 บาท มีค่าแรกเข้าปีแรก 5,000 บาท และค่าต่อสัญญาปีละ 1,500 บาท ซึ่งเจ้าของร้านการันตีด้วยตัวเองว่าคืนทุนภายใน 2 เดือนอีกด้วยนะ
6. ขนมปัง-นมสด
ใครอยากเริ่มต้นทำธุรกิจร้านอาหารก็ลองมาดูร้านขนมปัง-นมสดก่อนเลย
เพราะเป็นธุรกิจที่ทำไม่ยาก นอกจากนี้ขนมปัง-นมสด
ยังเป็นอาหารที่ถูกปากเด็ก ๆ และวัยรุ่น ยิ่งถ้าได้ทำเลทอง
แถวโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยแล้วละก็ รับรองว่าเด็ก ๆ
ต่อแถวซื้อกันตรึมแน่นอน ซึ่งแฟรนไชส์ขนมปัง-นมสด ที่น่าสนใจก็อย่างเช่น
- ปัง-สด
มีรูปแบบการลงทุนให้เลือก 3 ประเภท ใช้เงินประมาณ 25,000 ถึง 30,000 บาท พร้อมรับอุปกรณ์ปิ้ง ปั่น ครบชุดฟรี
- HJ Fresh Milk
ใช้เงินลงทุนประมาณ 23,500-120,000 บาท ตามรูปแบบร้านที่เลือก ซึ่งมีให้เลือกถึง 6 แบบ ไม่มีค่าแฟรนไชส์รายปี ร้านมีจุดเด่นที่มีการเพิ่มเมนูใหม่ ๆ ให้อย่างสม่ำเสมอเพื่อดึงดูดลูกค้า
- ไมโลดิบ ปากช่อง
มีแฟรนไชส์ 2 รูปแบบให้เลือก แบบ A ราคา 22,900 บาท เหมาะกับคนที่ขายเครื่องดื่มมาก่อนอยู่แล้ว ส่วนแบบ B ราคา 32,900 เหมาะกับคนที่ต้องการอุปกรณ์ครบชุด
มีรูปแบบการลงทุนให้เลือก 3 ประเภท ใช้เงินประมาณ 25,000 ถึง 30,000 บาท พร้อมรับอุปกรณ์ปิ้ง ปั่น ครบชุดฟรี
- HJ Fresh Milk
ใช้เงินลงทุนประมาณ 23,500-120,000 บาท ตามรูปแบบร้านที่เลือก ซึ่งมีให้เลือกถึง 6 แบบ ไม่มีค่าแฟรนไชส์รายปี ร้านมีจุดเด่นที่มีการเพิ่มเมนูใหม่ ๆ ให้อย่างสม่ำเสมอเพื่อดึงดูดลูกค้า
- ไมโลดิบ ปากช่อง
มีแฟรนไชส์ 2 รูปแบบให้เลือก แบบ A ราคา 22,900 บาท เหมาะกับคนที่ขายเครื่องดื่มมาก่อนอยู่แล้ว ส่วนแบบ B ราคา 32,900 เหมาะกับคนที่ต้องการอุปกรณ์ครบชุด
เชื่อว่าร้านกาแฟคงเป็นธุรกิจในฝันของหลาย ๆ คน
ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าปัจจุบันมีร้านกาแฟเพิ่มขึ้นมาเป็นจำนวนมาก
ตามความนิยมดื่มกาแฟของคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มพนักงานออฟฟิศ ที่หลาย ๆ
คนนี้ขาดกาแฟเหมือนขาดใจกันเลยทีเดียว
โดยแฟรนไชส์กาแฟสดในบ้านเราก็มีให้เลือกอยู่หลายแบรนด์ หลายระดับ
ซึ่งมีแฟรนไชส์ที่น่าสนใจมากมายไม่ว่าจะเป็น
- กาแฟมวลชน
มีขนาดร้านให้เลือกได้ตามความเหมาะสมตั้งแต่ 4 จนไปถึง 120 ตารางเมตร ใช้เงินลงทุนเบื้องต้นประมาณ 250,000 บาท จนถึง 2.2 ล้านบาท
- Coffee today
มีค่าแฟรนไชส์แรกเข้า 30,000 บาท ส่วนเงินลงทุนอื่น ๆ รวมประมาณ 550,000 บาทไปจนถึง 860,000 บาท โดยเป็นร้านที่ใช้ขนาดพื้นที่เริ่มต้นเพียง 4-40 ตารางเมตร ซึ่งไม่ใหญ่จนเกินไป ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายเรื่องค่าเช่าลงไปได้
- กาแฟแห่งรัก
เป็นร้านกาแฟที่ใช้เงินลงทุนต่ำ โดยใช้เงินลงทุนประมาณ 50,000-200,000 บาท เพื่อซื้อเครื่องชงกาแฟและอุปกรณ์ในการเปิดร้านกาแฟต่าง ๆ แถมยังไม่มีค่าธรรมเนียมแรกเข้า ค่าแฟรนไชส์รายปี ค่ารอยัลตี้ใด ๆ และไม่หักส่วนแบ่งยอดขายอีกด้วย
มีขนาดร้านให้เลือกได้ตามความเหมาะสมตั้งแต่ 4 จนไปถึง 120 ตารางเมตร ใช้เงินลงทุนเบื้องต้นประมาณ 250,000 บาท จนถึง 2.2 ล้านบาท
- Coffee today
มีค่าแฟรนไชส์แรกเข้า 30,000 บาท ส่วนเงินลงทุนอื่น ๆ รวมประมาณ 550,000 บาทไปจนถึง 860,000 บาท โดยเป็นร้านที่ใช้ขนาดพื้นที่เริ่มต้นเพียง 4-40 ตารางเมตร ซึ่งไม่ใหญ่จนเกินไป ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายเรื่องค่าเช่าลงไปได้
- กาแฟแห่งรัก
เป็นร้านกาแฟที่ใช้เงินลงทุนต่ำ โดยใช้เงินลงทุนประมาณ 50,000-200,000 บาท เพื่อซื้อเครื่องชงกาแฟและอุปกรณ์ในการเปิดร้านกาแฟต่าง ๆ แถมยังไม่มีค่าธรรมเนียมแรกเข้า ค่าแฟรนไชส์รายปี ค่ารอยัลตี้ใด ๆ และไม่หักส่วนแบ่งยอดขายอีกด้วย
เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับร้านสเต๊ก เพราะจับกลุ่มลูกค้าได้ทุกเพศทุกวัย และสามารถตีตลาดระดับกลางจนถึงระดับล่างเพื่อเป็นตัวเลือกของคนที่ชื่นชอบการทานสเต๊ก แต่สู้ราคาร้านในห้างไม่ไหว ที่สำคัญก็คือ เป็นธุรกิจอาหารที่ทำได้ง่าย มั่นใจได้ว่ารสชาติจะไม่ผิดเพี้ยนจากต้นฉบับ เพราะเจ้าของแฟรนไซส์ได้หมักเนื้อมาให้แล้ว เราก็แค่ทำเนื้อให้สุก เท่านี้ก็จะมีสเต๊กรสชาติอร่อย ๆ ไปเสิร์ฟลูกค้าแล้ว ลองมาดูกันว่ามีร้านไหนน่าสนใจบ้าง
- สเต๊กลุงใหญ่มินิ
ใช้เงินลงทุนเริ่มต้นเพียง 9,900 บาท สำหรับร้านรูปแบบตลาดนัดซึ่งชูจุดขายว่าเป็นสเต๊กราคาไม่แพง เพราะเริ่มต้นแค่จานละ 39 บาทเท่านั้น ส่วนใครมีพื้นที่มากหน่อยอยากได้ร้านใหญ่ขึ้น ก็มีรูปแบบอื่น ๆ ให้เลือกอีกมากมายหลายราคา ที่สำคัญยังการันตีความสำเร็จให้ผู้ซื้อแฟรนไชส์ หากไม่พอใจก็ยินดีคืนเงินด้วย
- Charlie's Steak
มีค่าแฟรนไชส์อยู่ที่ 19,000 บาท และใช้งบลงทุนประมาณ 30,000 ถึง 70,000 บาท ตามขนาดของร้าน
- นาเนีย สเต็ก
ร้านสเต๊กขนาดเล็กใช้เงินลงทุนต่ำประมาณ 25,000 บาท และไม่มีค่าแฟรนไชส์
9. ร้านเบเกอรี่-ขนมหวาน
แม้ว่าปัจจุบันร้านเบเกอรี่จะเปิดขึ้นมาเป็นจำนวนมาก แต่ตลาดก็ยังมีความต้องการที่สูงอยู่ และความนิยมของผู้บริโภคก็ยังสามารถเติบโตได้อีกมาก จากไลฟ์สไตล์สมัยใหม่ที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ทำให้ร้านเบเกอรี่สามารถเจาะตลาดได้ทั้งกลุ่มคนเมืองที่มีความเร่งรีบ ต้องการอาหารเช้าที่สะดวกรวดเร็ว รวมทั้งร้านเบเกอรี่หลาย ๆ แห่ง ยังปรับเปลี่ยนให้กลายเป็นคาเฟ่นั่งเล่น ให้กลุ่มเพื่อน ๆ มานัดเจอกันได้อีกด้วย โดยแฟรนไชส์ร้านขนมที่น่าสนใจ ก็อย่างเช่น
- Sugar House
ไม่จำเป็นต้องมีความรู้ในการทำขนมมาก่อนก็ทำได้ เพียงแค่รับขนมจากโรงงาน เรียนรู้วิธีทำและพร้อมขายได้เลย แถมยังกำหนดราคาขายที่เหมาะสมให้กับลูกค้าได้เอง ใช้เงินลงทุนเบื้องต้นประมาณ 50,000 บาท
- เครปกรอบวังหลัง
มีค่าแฟรนไชส์อยู่ที่ 79,000 บาท และค่าต่อสัญญาปีละ 4,000 บาท จุดเด่นของแฟรนไชส์คือ ใช้เงินลงทุนไม่มาก มีอุปกรณ์ครบพร้อมขายทันที ร้านมีขนาดเล็กทำให้เคลื่อนย้ายสะดวก เปลี่ยนทำเลขายได้ง่าย
- The Waffle
เป็นร้านเบเกอรี่ที่ขายวาฟเฟิลโดยเฉพาะ ซึ่งใช้เงินลงทุนเริ่มต้นประมาณ 100,000 บาท โดยเน้นตั้งในพื้นที่ห้างสรรพสินค้าเป็นหลัก
ภาพจาก เฟซบุ๊ก Chicken boy
ไก่ทอดขึ้นชื่อว่าเป็นอาหารที่กินง่าย อิ่มท้องในราคาเบา ๆ ทำให้คนตัดสินใจควักกระเป๋าซื้อได้ไม่ยาก จึงเป็นข้อได้เปรียบของธุรกิจนี้ เพราะใช้เงินลงทุนไม่สูงมาก แต่คืนทุนไว และไม่ต้องใช้พื้นที่ขนาดใหญ่มากในการตั้งร้านด้วย ปัจจุบันเลยมีแฟรนไชส์ไก่ทอดผุดขึ้นมาให้เราเลือกลงทุนเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น
- Chicky Chic
มีร้านให้เลือกหลากหลายรูปแบบ ทั้งแบบบูธถอดประกอบได้ หรือแบบมีหน้าร้าน ใช้เงินลงทุนเริ่มต้นตั้งแต่ 30,000 บาท จนถึง 1 ล้านบาท
- Chic'ken Boy
ไม่เก็บค่าธรรมเนียมรายปี และไม่หักเปอร์เซ็นต์จากยอดขาย ใช้เงินลงทุนประมาณ 80,000 ถึง 120,000 บาท
- หน้าใหญ่ไก่ทอด
ไก่ทอดชิ้นโตและหมึกทอดไตล์ไต้หวัน จุดเด่นคือมีให้เลือกถึง 8 รสชาติ ใช้เงินลงทุนเริ่มต้นที่ 60,000 บาท ขึ้นอยู่กับขนาดร้านที่เลือก โดยเจ้าของแฟรนไชส์กล้ารับประกันเลยว่า สามารถสร้างผลกำไรได้มากกว่า 55%
ทั้งหมดนี้ก็เป็น 10 ธุรกิจแฟรนไชส์อาหารที่กระปุกดอทคอม ได้หยิบมาแนะนำเพื่อเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจของคนที่กำลังอยากลงทุนทำธุรกิจแฟรนไชส์ แต่ยังเลือกไม่ได้ว่าจะทำอะไรดี แต่อย่างไรก็ตาม ก่อนตัดสินใจลงทุนซื้อแฟรนไชส์ ก็อยากให้ทุกคนพิจารณาให้รอบคอบ และถามตัวเองก่อนว่าต้องการที่ลงทุนในธุรกิจนั้น จริง ๆ หรือไม่ เพื่อที่จะไม่ต้องเสียใจ และเสียเงินเสียทองไปกับธุรกิจที่ตัวเองไม่ได้รัก