8 สิ่งที่ฉันค้นพบ จากการเป็นลูกจ้าง มา 3 ปี

8 สิ่งที่ฉันค้นพบ จากการเป็นลูกจ้าง มา 3 ปี

การทำงานทุกวันมันย่อมมีเหน็ดเหนื่อยเป็นธรรมดา มีท้อบ้าง อยากถอยบ้างเหมือนกันและหลายคนหมดกำลังใจในการทำงานไปเลยก็มี ลองมาอ่านเรื่องราวนี้ดูเป็นเรื่องราวจากสมาชิกเว็บพันทิปหมายเลข 1201143 ที่ได้มาแชร์เรื่องราว 8 สิ่งที่ฉันค้นพบ จากการเป็นลูกจ้าง เชื่อว่าเรื่องนี้จะทำให้หลาย ๆ คนปรับมุมมองในการทำงานของตนเองให้ดียิ่งขึ้นได้

1. การโดนด่าวันนี้ ดีกว่าโดนด่าในตอนอายุ 50

อายุยังน้อยความคาดหวังจากคนรอบข้างก็เยอะ กดดันกับงานมากแต่เชื่อเถอะว่า ล้มวันนี้มันก็ดีกว่าล้มตอนอายุ 50 ปี แน่นอน ซึ่งคนที่อยู่มานานจนถึง 50 – 6 ปี เขาก็ผ่านช่วงเวลานั้นมาก่อนแล้ว สิ่งที่อยากแนะนำคือ ตอนนี้อายุ 20 ปี กว่า ๆ ตลอดไป อยากทำอะไรทำ อยากถามอะไรโง่ๆก็ให้รีบถาม พรีเซ้นแล้วมัน ห่ ว ย ก็พรีเซ้นไปเรื่อยๆ ฝึกไปเรื่อยๆโดนด่าตอนนี้ เจ็บน้อยกว่าโดนด่าตอนอายุ 50 เยอะ ถึงแม้จะผิดพลาดด้วยความยังอายุน้อยและ อ่อนประสบการณ์ คนส่วนใหญ่พร้อมจะให้อภัยเราเสมอ เพราะฉะนั้น ล้ ม เ ห ล ว เยอะๆเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์

สิ่งที่ฉันค้นพบ จากการเป็นลูกจ้าง

2. เล่น ก า ร เ มื อ ง กับทุกคนได้

ไม่ได้แปลว่าจะไปจริงจังแบ่ง พั ก แบ่ ง พ ว ก แต่ว่ามันคือการเป็นกลาง “เราไม่ฝักฝาฝ่ายใด” ในออฟฟิตนั้นมีคนชอบหลาย พ ร ร คมาก จากการเฝ้าสังเกตมา 3 ปี พบว่า การเล่นกา ร เ มื อง เยอะไปไม่มีความสุข ยิ่งใครตำแหน่งสูงต้องห้ามพลาดเลยเพราะคนที่คอยรอซ้ำมันเยอะมาก เล่นการ เ มื อ ง กับทุกคน ในความหมายนี่คือ การที่เราดูว่าคนนี้เป็นคนยังไง จะเข้ากับเขาได้อย่างไร ไม่ได้บอกว่าให้สตอเบอร์รี่ หรือ ฝืนตัวเอง แต่ละคนเขาก็มีพื้นฐานนิสัย ความชอบ โตมาในสังคมที่แตกต่างกัน การที่เราดูแล้วรู้ว่าจะ อยู่ร่วมกับเขาแบบเป็นมิตร ได้อย่างไรจะทำให้เราได้เปรียบมากๆ นอกจากวางตัวง่ายแล้ว

เราจะไม่มี ศั ต รู เคสนี้รวมถึงบางคนที่ดูแล้วไม่ถูกกัน การวางตัวกับเขาก็คือเฉยๆ ทักทายสวัสดีตามมารยาท ไม่จำเป็นต้องไปคุยก็ไม่ต้องคุย เราไม่รู้หรอกว่าวันนึงโลกจะเหวี่ยงเราเข้าไปทำงานกับใคร เพราะฉะนั้น อย่าสร้าง ศั ต รูเ ด็ดขาด ถึงไม่ได้ร่วมงานกันในบริษัทนี้ แต่ในอนาคต อาจได้โครจรมาร่วมงานกันในที่ใหม่ๆก็ได้

3. สนใจและใส่ใจ โฟกัสที่ลู่วิ่งของเรา แต่อย่าเก็บลู่วิ่งคนอื่นมา อิ จ ฉ า

ในช่วงที่ผ่านมามีหลายคนรอบข้าง เพื่อนหลายคนเริ่มมีครอบครัว เรียนต่อ เปลี่ยนงาน มีธุรกิจตัวเอง เงินเดือนขึ้นและอื่น ๆ จนทำให้เราเห็นคนอื่นได้ดีแล้วมองตัวเองว่า “เราล่ะทำอะไรอยู่” ซึ่งในความเป็นจริงแล้วชีวิตของพวกเขาก็อาจจะไม่ได้ดีอย่างที่เราเห็น และไม่แน่อาจจะมีหลายคนที่กำลัง อิ จ ฉ า เราอยู่ก็ได้

เคยมีคนเดินมาบอกเราว่า แหม..ชีวิตดีจังนะ คือ ตัวเราเองก็ไม่ได้คิดเลยว่าชีวิตเราดี สิ่งที่เราคัดกรองโพสต์ลงโซเชียลนั่นแหละที่ดี จงจำไว้ว่าอย่าเอาจังหวะชีวิตของเราไปเปรียบเทียบกับคนอื่น โฟกัสที่ลู่วิ่งของเรา รู้ว่าเรากำลังจะทำอะไร รู้ว่าปลายทางเราต้องการอะไร รู้ว่าวันนี้เราทำดีกว่าเมื่อวานแล้วหรือยัง ก็เพียงพอแล้ว แอบมองลู่วิ่งคนอื่นบ้างเป็นบางครั้ง เพื่อเป็นแรงกระตุ้นให้เราจริงจังกับชีวิตมากขึ้น แต่อย่าเก็บมาใส่ใจจนเป็น ทุ ก ข์ พอ

สิ่งที่ฉันค้นพบ จากการเป็นลูกจ้าง

4. เราไม่ได้เกิดมาเพื่อทำแค่งานอย่างเดียว

บางทีเราก็ไม่ได้มีความสุขกับการทำงานอย่างเดียว ก็มีหลายครั้งที่อยากจะลาออกตอนนั้นเลย แต่ชีวิตเราก็ยังมีเป้าหมายอื่น อย่างการปลูกต้นไม้ วิ่งมาราธอน การเรียนต่อ และอื่น ๆ ที่ใช้เป็นแรงใจในการดำเนินชีวิตไปได้ เพิ่มความเชื่อมั่นให้ตนเองและใช้เป็นแรงใจในการทำงานได้เหมือนกัน

5. หัวหน้าก็เป็นคนนะรู้ไหม

สำหรับลูกน้องตัวเล็กๆอย่างเรา สิ่งที่พวกเรายำ เ ก ร  งที่สุดในที่ทำงานก็คงจะหนีไม่พ้นเจ้านาย คนที่เป็นหัวหน้างานเองก็มีนิสัยแตกต่างกันไป อย่างตัวเราเคยเจอทั้งที่แบบขึ้นชื่อว่า โ ห ด สุ ด ๆ ทำงานหนัก ไปจนถึงวันๆ ไม่ทำการทำงาน คอยสั่งคนนู้นทีคนนี้ที แต่พอได้มองดูดีๆ เราก็พบว่า เฮ้ย หัวหน้าก็คนนี่หว่า แต่คนๆ นี้มันจะมาบ่นว่าขี้ เ กี ย จ ตื่น หรือโดนนายสั่งงานเยอะไม่ได้ไง เพราะอะไรน่ะเหรอ นอกจากจะโดนหัวหน้าของเค้าเองเขม่นแล้ว ลูกน้องก็ยังจะไม่ให้ความเคารพด้วย หนำซ้ำอาจจะพาลกันเสียระบบการปกครองทั้งทีม

ถ้าให้แนะนำก็อยากจะบอกว่า พยายามเข้าใจเค้าดีกว่าว่าเค้าก็เป็นมนุษย์อย่างเราๆ นี่แหละ เป็นคนดีบ้างคนไม่ดีบ้าง นิสัยก็แตกต่างกันบ้างเป็นเรื่องปกติ อย่ามองว่าเรากับเค้าอยู่คนละขั้วกัน อยากให้มองในมุมที่ว่าถ้าเราไม่ทำงานให้เค้า เค้าจะเอางานที่ไหนไปส่งละจริงๆ

หัวหน้าเลิกงานก็อยากกลับบ้านไปเจอครอบครัว ไม่ได้อยากอยู่ดึกๆให้คนที่บ้านเป็นห่วงหรอก เวลาว่างก็ไม่ได้อยากทำงาน ก็อยากไปเที่ยวเหมือนกันนั่นแหละ แต่แค่ออกหน้าพูดมากแบบเราไม่ได้ ตำแหน่งมันค้ำ ค อ ลองคิดดู แค่เรานำเสนองานกับหัวหน้าก็เกร็งจะแย่ นี่เค้าต้องเอางานเราไปนำเสนอกับหัวหน้าฝ่าย หรือ CEO ลูกน้องคนไหนที่ช่วยแบ่งเบาภาระเค้าได้เยอะ เค้าก็จะรักคนนั้นเป็นธรรมดา

6. หาคนที่เป็นมากกว่า ” เพื่อนร่วมงาน ” ให้เจอ แล้วจะอยากไปทำงานมากขึ้น

ความแตกต่างระหว่าง ” เพื่อน “ กับ ” เพื่อนร่วมงาน “ คืออะไร ที่เค้าบอกว่ายิ่งโต ยิ่งหาเพื่อนยากก็คงจะจริง สมัยประถม การหาเพื่อนใหม่ไม่ยากเท่าสมัยมัธยม และการหาเพื่อนในสมัยมัธยมก็ไม่อยากเท่าตอนเข้ามหาวิทยาลัย มันแปลว่ายิ่งเราโตขึ้นเท่าไหร่ เราจะหาเพื่อนยากขึ้นเท่านั้น และไม่ต้องบอกเลยว่าการหาเพื่อนที่จริงใจคนนึงในออฟฟิศมันยากแค่ไหน

นอกจากจะมีเรื่องผลตอบแทน ทั้งตำแหน่ง เงินเดือน การประเมิน เข้ามาเกี่ยวด้วย หน้าที่หลักของมนุษย์เงินเดือนอย่างเราคือไปทำงาน ไม่ได้ไปทำกิจกรรมสานสัมพันธ์หาเพื่อน ดังนั้นวันๆ เราจึงจะเจอแค่เพื่อนร่วมทีม ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็เป็นการคุยกันแค่เรื่องงานเท่านั้น

เราโชคดีที่เจอทีมที่ดี คุยได้ทั้งเรื่องส่วนตัวและเรื่องงาน เรียกได้ว่าเป็นทั้งเพื่อน และเพื่อนร่วมงานในคราวเดียวกัน การมีทีมที่อยู่ด้วยแล้วสนิทใจแบบนี้ เราคิดว่ามันคือกำไรชีวิต พยายามหาคนเหล่านี้ให้เจอในสังคมการทำงาน แล้วเราจะอยากไปทำงานมากขึ้น ( นิดนึงก็ยังดี ) ไม่จำเป็นต้องอยู่ทีมเดียวกันก็ได้ แค่ได้พบเจอ พูดคุยแลกเปลี่ยนความเซ็งก็ดีแล้ว ให้เราลองถามตัวเองว่า “ถ้าเราลาออกจากที่นี่ เรายังจะอยากนัดคนนี้กินข้าวอยู่ไหม” ถ้าคำตอบคือ ใช่ ยินดีด้วย คุณเจอเพื่อนจริงๆ ในที่ทำงานแล้ว

สิ่งที่ฉันค้นพบ จากการเป็นลูกจ้าง

7. อย่าเป็นตัวของตัวเองเกินไปในโลกออนไลน์

หลายคนเชื่อว่าโลกโซเชียลเป็นพื้นที่ส่วนตัว จะโพสต์อะไรมันก็สิทธิ์ของเรา แต่รู้รึเปล่าว่า HR สมัยนี้นอกจากจะดู resume เราแล้ว ยังดูเฟสบุคของเราด้วย เพื่อนเราที่เป็น HR ยืนยันมาว่า Social media บอกความเป็นตัวตนที่แท้จริงของเราได้มากกว่า Resume เป็นสิบเท่า เห็นไหมว่าตัวตนบนโลกออนไลน์ของเรานั้นมีผลกับเราตั้งแต่ก่อนเข้างานซะอีก

เมื่อเราเป็นมนุษย์เงินเดือนเต็มตัว เรื่องพวกนี้ยิ่งต้องระวัง อย่างเราคือไม่แตะเฟสบุ้คเลย หรือถ้าจะโพสต์/แชร์อะไร ก็คิดแล้วว่าถ้าหัวหน้ามาเห็นก็ไม่เป็นไร

ถ้าอยากมีพื้นที่ส่วนตัวจริงๆ แนะนำให้แยกเฟสที่ทำงาน กับ เฟสส่วนตัวเลย แล้วปิดสาธารณพด้วย เพราะ ส่วนมากคนในที่ทำงานเค้าก็ขอแอดกันอยู่แล้ว ยิ่งเรื่อง ด ร า ม่ า ในที่ทำงาน คนนั้นคนนี้ เ บื่ อ งาน หัวหน้างี่ เ ง่ า ห้ามโพสต์เด็ดขาด โพสต์ปุ้บมีคนแคปปั้บแน่นอน เตือนแล้วนะ

8. จงเป็นลูกจ้างมืออาชีพ

สรุปสั้นๆ ตามหัวข้อเลย ถ้าอยากประสบความสำเร็จ และ มีความสุข จงเป็น  ” ลูกจ้างมืออาชีพ“ ให้ได้ พูดง่ายแต่ทำยากนะ เพราะลูกจ้างมืออาชีพก็คือคนที่ตระหนักได้ว่า เราถูกจ้างมาด้วยค่าตอบแทนจำนวนหนึ่ง นั่นหมายความว่าบริษัทเค้าต้องการอะไรบางอย่างจากเราแลกกับค่าตอบแทนนั้นๆ เราต้องรู้ว่าบริษัทจ้างเรามาทำอะไร และ ทำมันให้ดีกว่าที่บริษัทคาดหวัง หากต้องการความก้าวหน้าในหน้าที่ หากงานที่ทำอยู่รู้สึกว่าไม่ตรงกับ skill หรือ passion ของเรา ก็ไม่ควรอดทนทำไป

ควรจะหางานที่เราทำแล้วเรามีความสุขและทำได้ดี เพื่อดึงศักยภาพของตัวเองออกมาให้มากที่สุด นอกจากจะทำให้เราเติบโตในองค์กรแล้ว ยังทำให้เราพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลาและไม่เบื่อด้วย เมื่อถึงจุดๆหนึ่งเราจะรู้เองว่า ควรไปทางไหนต่อ รีบหาสายงานที่ชอบให้ได้ตั้งแต่เนิ่นๆ แล้วเราจะเป็น Expert ได้เร็วกว่าคนอื่น อายุเท่านี้ไม่ต้องกลัวการลาออก จะลาออกกี่ครั้งก็ได้ ถ้าในที่สุดเราเจอสายอาชีพที่เรารักและอยากทำ จะเป็นอะไรที่คุ้มค่ามาก

และด้วยคอนเซ็ปท์เดียวกัน เราถูกจ้างมาด้วยค่าตอบแทนจำนวนหนึ่ง อย่าทำงานหนักเกินกว่าค่าตอบแทนจนเกินไป ทุ่มเทได้ แต่ต้องมีผลลัพธ์ที่ดีตามออกมาด้วย เช่น ได้ปรับเงินเดือน ได้ประเมินดี หาเวลาอยู่กับพ่อแม่ ญาติๆ บ้าง หันกลับไปมองข้างหลังบ้างว่า คนที่เป็นบันไดให้เรามายืนจุดนี้ ตอนนี้เค้าเป็นยังไงกันบ้างนะ อย่าลืมว่าพ่อแม่อายุเพิ่มขึ้นทุกวัน ดูแลสุขภาพท่านด้วย ถ้าเดือนไหนมีเงินเหลือก็ตรวจสุขภาพให้ท่านแล้วหาเวลาไป มันไม่ลำบากหรอก แลกกับความสุขของพ่อแม่

ขอบคุณทุกท่านที่ทนอ่านกันมาจนถึงตรงนี้อีกครั้ง และ ขอให้ชีวิตมนุษย์เงินเดือนของทุกท่านเต็มไปด้วยเรื่องราวสนุกๆ ตื่นเต้น เจอแต่เพื่อนร่วมงานดีๆ ได้ลูกค้าน่ารัก ได้โบนัสตามที่หวังไว้

สิ่งที่ฉันค้นพบ จากการเป็นลูกจ้าง

เรื่องราวข้อคิดน่าเรียนรู้ในการทำงานนี้ต้องขอขอบคุณ คุณสมาชิก เว็ปไซต์ pantip สมาชิกหมายเลข 1201143 จริง ๆ และในบางหัวข้อผู้เขียนก็ได้เรียบเรียงใหม่เพื่อให้อ่านง่ายขึ้น เข้าใจง่ายขึ้น กระชับมากขึ้นและในบางข้อก็ยังคงถ้อยคำเจ้าของกระทู้ไว้เหมือนเดิม อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะแบบไหนหากคุณอยากจะสนุกกับการทำงาน อยากจะใช้ชีวิตในแบบที่คุณต้องการและมีความสุข ลองปรับตัวเองดูสิ อ่านครบจบทั้ง 8 ข้อแล้วมันช่วยให้คุณได้อะไรบ้าง

สิ่งสำคัญกว่านั้นคุณจะต้องรู้จักตนเองและหาตัวเองให้เจอว่าต้องการอะไร รักที่จะทำอะไร มีเป้าหมายในชีวิตคืออะไรและจงเดินไปหามันด้วยความมั่นคง หน้าที่ของคุณมีอะไรบ้างที่จะต้องทำก็จงตั้งใจทำมันให้ดีที่สุด ไม่ว่าผลลัพท์มันจะออกมาอย่างไรก็จงอย่ายึดติดกับมันมาก มีล้มเหลวเราก็ลุกขึ้นแก้ตัวใหม่หาทางออกใหม่ได้ หากประสบความสำเร็จได้รับชัยชนะก็อย่าดีใจกับผลงานนั้นเกินไปเพราะมันมีโอกาสที่จะตกลงมา หรือโดนใครแซงหน้าได้เหมือนกัน แต่จงพัฒนาตัวเองเสมอในทุก ๆ ด้านและรู้จักวางตัวให้เหมาะสม เลือกคบคนที่น่าคบ ปรับทัศนคติและมุมมองของตัวเองให้ดี มองโลกในแง่บวกให้เป็นแล้วคุณจะเป็นคนหนึ่งที่มีความสุข

ขอขอบคุณข้อมูลจาก :สมาชิกเว็ปไซต์ pantip หมายเลข 1201143 , bitcoretech