Home »
Uncategories »
10ข้อบ่งบอกของ “โรคติดของหวาน” มากเกินไป
10ข้อบ่งบอกของ “โรคติดของหวาน” มากเกินไป
สวัสดีเพื่อนๆที่น่ารักทุกท่านนะจ๊ะ วันนี้ก็กลับมาพบกับเพจ easyfoodchannel
อีกเช่นเคยเพจที่รวบรวมเนื้อหาสาระดีๆเกี่ยวกับเรื่องอาหาร
สำหรับท่านใดที่ชื่นชอบการทานของหวานเป็นพิเศษต้องคิดกันสักนิดนะคะ
เพราะถ้ากินมากก็ส่งผลเสียต่อร่างกายเช่นกัน วันนี้เราจึงมาเผย
10ข้อเตือนภัย คนที่ชอบกินของหวานมากเกินไปจะส่งผลเสียตามมา
ตามมาดูกันดีกว่าค่ะว่าจะมีอะไรกันบ้าง
1. ขาดน้ำตาลหรือความหวานไม่ได้
หากชื่นชอบการเติมน้ำตาลเป็นชีวิตจิตใจถึงขั้นที่ขาดไม่ได้
ไม่ว่าจะเป็นการเติมลงในกับข้าว ก๋วยเตี๋ยว ชา กาแฟ
และอาหารแทบทุกอย่างที่เรากินเข้าไปแล้วล่ะก็
นั่นส่อแววชัดเจนเลยว่าเรากำลังเกิดอาการติดหวาน และอีกไม่นานโรคอ้วน
ความดันโลหิตสูง ไขมันในเส้นเลือด
2. รู้สึกปวดหัวเมื่อไม่ได้รับประทานของหวาน
หากเช้าวันใดที่ไม่ได้รับประทานของหวานแล้วเกิดอาการปวดหัว
ลองทำเช่นเดิมดูอีกครั้งในวันถัดๆไป
แล้วดูผลลัพธ์ที่ได้ว่าเราเกิดอาการปวดหัวเหมือนเดิมอีกหรือไม่
ถ้าคำตอบออกมาคือใช่ นั่นแสดงว่าสาวๆ เกิดอาการติดหวานขั้นรุนแรงแล้ว
3. รับรู้รสชาติความหวานเปลี่ยนไปจากเดิม
ยิ่งกินหวานมากขึ้นเท่าไหร่
ร่างกายของเราก็จะรับรู้ความหวานของสิ่งที่กินเข้าไปได้ผิดเพี้ยนมากขึ้นเท่านั้น
นั่นก็คืออาการที่เรารู้สึกว่ายังไม่หวานเลย ยังไม่หวานเท่าไหร่
ยังหวานได้มากกว่านี้อีก หรือถ้าหวานกว่านี้จะยิ่งอร่อย
เหล่านี้ล้วนบ่งบอกถึงการติดหวานของสาวๆ ได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว
4. ทั่วทั้งบ้านมีแต่ขนมหวาน
ถ้าหากทั้งในตู้เย็น ในครัว บนโต๊ะกินข้าว หรือแม้กระทั่งเตียงนอนของสาวๆ
ก็ล้วนมีขนมหวานมากมายซุกซ่อนไว้
หรืออาจเป็นที่ใดที่หนึ่งในบ้านที่เป็นดั่งขุมสมบัติขนาดย่อมที่เต็มไปด้วยขนมหวานแล้วล่ะก็
นั่นย่อมบ่งบอกถึงอาการติดหวานขั้นรุนแรงที่สาวๆ ควรหาวิธีแก้ไขโดยด่วน
5. โปรดปรานอาหารประเภทไร้ไขมัน
เคยสังเกตไหมว่าอาหารประเภทไร้ไขมันหรือ No Fat
นั้นจะมีรสชาติที่หวานขึ้นกว่าปกติ
นั่นก็เพราะผู้ผลิตนำเอารสชาติหวานมาทดแทนความหอมมันที่ขาดหายไป
ดังนั้นสาวๆที่โปรดปรานการกินอาหารหรือขนมประเภทไร้ไขมัน
จึงควรสังเกตดูให้ดีๆ ว่าตัวเราเองกำลังติดหวานเพราะสิ่งนี้หรือไม่
6. ชอบกินอาหารและขนมที่มีส่วนประกอบของแป้งเป็นหลัก
แป้งหรือคาร์โบไฮเดรตที่เรารับประทานเข้าไป
เมื่อผ่านการย่อยแล้วก็จะกลายเป็นน้ำตาล
การที่รับประทานอาหารและขนมประเภทแป้งอยู่ตลอดวัน แม้ในช่วงเวลาที่ท้องอิ่ม
ก็เป็นอีกข้อที่บ่งบอกว่าเรากำลังเกิดอาการติดหวาน
อันจะส่งผลให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพตามมาอีกมากมาย
7. มีอาการอ่อนเพลียตลอดวัน
รู้หรือไม่ว่าการรับประทานน้ำตาลมากเกินไป
จะทำให้ร่างกายของเราปฏิเสธอาหารจำพวกโปรตีน และนั่นเองที่ทำให้ขาดสารอาหาร
ส่งผลให้เกิดอาการอ่อนเพลีย
เนื่องจากโปรตีนเป็นสารอาหารหลักสำคัญที่ให้พลังงาน
รวมไปถึงซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอภายในร่างกาย
เมื่อร่างกายของเราขาดโปรตีนจึงก่อให้เกิดอาการอ่อนเพลียมากขึ้นเรื่อยๆ
นั่นเอง
8. อารมณ์ดีหลังการรับประทานของหวาน
เวลาที่เครียด ร่างกายจะมีความต้องการการเสพของหวานมากขึ้นเป็นเท่าตัว
ไม่ว่าจะเป็นกาแฟเย็น ชาเย็น ชาดำเย็น หรือขนมหวานต่างๆ ยิ่งถ้าหากสาวๆ
อารมณ์ดีขึ้นทันทีหลังการกินของหวาน
รวมทั้งเพรียกหาของหวานกินทุกครั้งที่เกิดความเครียดด้วยแล้วล่ะก็
นั่นหมายความว่าเรากำลังเกิดอาการติดหวานเข้าแล้ว
9. คิดช้าลง หลงลืมมากขึ้น
รู้หรือไม่ว่าปริมาณน้ำตาลในร่างกายที่มากเกินความจำเป็น
จะเข้าไปลดจำนวนโปรตีนในสมองของสาวๆ
ซึ่งจะส่งผลต่อระบบความคิดและความจำของเรา ทำให้สาวๆ คิดคำนวณได้ช้าลง
รวมทั้งหลงลืมเรื่องราวต่างๆ รอบตัวมากขึ้น
อีกทั้งยังส่งผลให้มีเปอร์เซ็นต์ในการเป็นโรคอัลไซเมอร์มากขึ้นอีกด้วย
10. ปวดฟัน ฟันผุ เป็นโรคในช่องปาก
เรียนวิชาสุขศึกษากันมาตั้งแต่เด็กแล้วว่า
การกินของหวานแล้วไม่แปรงฟันจะทำให้ฟันผุ
ทว่าการรับประทานของหวานมากจนเกินไปถึงขั้นเกิดอาการติดหวาน
ก็สามารถทำให้สาวๆ ฟันผุ ปวดฟัน และเป็นโรคในช่องปากได้
เนื่องจากน้ำตาลที่เข้าไปสะสมอยู่ในช่องปากและตามซอกฟันของเราโดยที่เราไม่รู้ตัว
กว่าจะกลับบ้านมาแปรงฟันแบคทีเรียมากมายก็ก่อตัวขึ้นลงหลักปักฐานในช่องปากของเราแล้ว