Home »
Uncategories »
เปิดคฤหาสน์สุดหรู มหาเศรษฐีเมืองไทยอาณาจักรอมตะนคร มูลค่ากว่า 2 พันล้าน
เปิดคฤหาสน์สุดหรู มหาเศรษฐีเมืองไทยอาณาจักรอมตะนคร มูลค่ากว่า 2 พันล้าน
บ้านใจกลางเมืองกรุงเทพมหานคร (ถนนเพชรบุรีตัดใหม่)
แต่มีบรรยากาศที่ร่มรื่นมากๆ มีการทำสวนสวยๆ
ดุจดั่งป่าหิมพานต์บนดาดฟ้าชั้น 6 ของอาคาร โดยยึดหลักที่ว่า
“พรุ่งนี้ต้องดีกว่าวันนี้”
เลยทำให้บ้านของคุณวิกรมมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
คลิป
ความน่าสนใจของ “อมตะ คาสเซิล” แบ่งพื้นที่ชั้น 1
เพื่อนเป็นพื้นที่จัดแสดงผลงานซิลปะจากศิลปินที่หลากหลายที่ผ่านการประกวดการแข่งขันในรางวัล
ศิลปกรรม อมตะ อาร์ต อวอร์ด คุณ “วิกรม กรมดิษฐ์”
นักธุรกิจและนักเขียนชาวไทย ผู้ก่อตั้งและเป็นประธานกรรมการบริหาร (CEO)
บมจ. อมตะ คอร์ปอเรชัน
เจ้าของโครงการนิคมอุตสาหกรรม 3 แห่งในประเทศไทย
นอกจากนี้เพื่อให้ตรงตามคอนเซ็ปต์ของคุณวิกรม กรมดิษฐ์
ปราสาทแห่งนี้ยังมีสวนลอยฟ้าที่มีน้ำตกสูงถึง 18.5 เมตร
พร้อมสวนหย่อมและธารน้ำจำลอง
ซึ่งมองแล้วยังคงรักษาคอนเซ็ปต์ของสวนป่าดึกดำบรรพ์เหมือนอย่างที่บ้านและออฟฟิศกลางเมืองของคุณวิกรม
โดยต้นไม้ของที่นี่แต่ละต้นล้วนเป็นต้นที่มีเอกลักษณ์และความสวยงามของตนเอง
คราวนี้แหละที่เราจะมีโอกาสได้เห็นความยิ่งใหญ่ที่เปรียบเป็นอีกอาณาจักรหนึ่งของ
เศรษฐีเมืองไทยอย่างคุณวิกรม กรมดิษฐ์ ผู้สนใจเข้าชมอมตะ คาสเซิล
สามารถติดต่อและสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 038 939 043-5 หรือ
http://event.amata.com/exhibition/register.html และ
https://www.facebook.com/AmataCorp/posts/1790901580943067
หลังจากที่ “วิกรม กรมดิษฐ์” เจ้าของอมตะนคร
ออกมาเปิดใจในรายการของวู้ดดี้ มิลินทจินดา ในทุกแง่ทุกประเด็น ทุกคำถาม
โดยเฉพาะเรื่องราวในด้านมืดของเขา งานนี้ก็ทำให้หลายคนถึงกับอึ้ง!
ในความไม่ดี ทึ่งในความสามารถของเขาเลยทีเดียว
และด้วยความเป็นคนที่ไม่ธรรมดาเหล่านี้จึงทำให้ชื่อของเขากลายเป็นบุคคลที่หลาย
ๆ คนอยากรู้จักกัน วันนี้กระปุกดอทคอมก็ไม่พลาด
จะพาไปเปิดประวัติเขากันค่ะ “วิกรม กรมดิษฐ์” ผู้ก่อตั้งและประธานบริหาร
บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน)
เจ้าของโครงการนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร
พร้อมทั้งมีบริษัทในเครืออมตะอีกหลายแห่ง รวมถึงที่อยู่ในเวียดนามด้วย
เขาพลิกผันตัวเองจากครอบครัวที่ทำอาชีพค้าขายในจังหวัดกาญจนบุรี
มาสู่เจ้าของอาณาจักรนิคมอุตสาหกรรม วิกรม กรมดิษฐ์ เกิดเวลา 24.00 น.
วันที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2496 ทวดของเขามาจากเมืองจีนมาทำการค้าขายในเมืองไทย
จนได้แต่งงานกับย่าทวดที่ทำธุรกิจด้านยาสูบ
ต่อมาในรุ่นของคุณปู่ก็มีใช้เรือในการขนส่งใบยาจากกาญจนบุรีมาที่กรุงเทพฯ
และส่งไปขายต่อที่จีน
ส่วนตัวเขาเองนั้นขณะที่เรียนชั้นประถม 1 ก็เริ่มทำการค้าขายแล้ว
เป็นการขายถั่วคั่วที่เขาทำเรื่อยมาจนถึงประถม 3
ต่อมาก็ไปรับขนมปังและลูกอมมาขายควบคู่ไปด้วยเลย
ซึ่งวิกรมนั้นมีความฝันที่อยากจะมีกิจการเป็นของตัวเองตั้งแต่เด็ก
และด้วยความที่เขาต้องควบคุมคนงานมาตั้งแต่เด็ก ๆ
จึงทำให้รู้จักการวางตัวให้น่าเชื่อถือเพื่อจะได้สามารถควบคุมคนหมู่มากได้
กระทั่งได้รับทุนการศึกษาในระดับปริญญาตรี จากรัฐบาลไต้หวัน
เขาก็เริ่มทำธุรกิจแบบจริงจังมากขึ้นด้วยการนำเข้าอะไหล่วิทยุ, โทรทัศน์
และเครื่องสูบน้ำ
จากประเทศไต้หวันเข้ามาขายในไทย และก็ได้นำสินค้าจำพวก เครื่องหนัง,
ทองรูปพรรณ และเมล็ดพันธุ์ต่าง ๆ กลับไปขายในไต้หวัน
จนสร้างรายได้ให้เขาเป็นกอบเป็นกำ เหตุผลที่วิกรม
ต้องดิ้นรนทำมาค้าขายแบบนี้ก็เพราะเขามีปัญหากับพ่อ
ทำให้พ่อไม่ส่งเสียจึงต้องพยายามหาทางส่งเสียตัวเอง
และในที่สุดเขาก็เรียนจบปริญญาตรีจากคณะวิศวกรรมศาสตร์
มหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวัน ต่อมาเขาก็ได้ปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์
ในสาขาวิชาการบริหารทั่วไป จากมหาวิทยาลัยรามคำแหงอีกด้วย
สิ่งที่วิกรมได้เรียนรู้มาตั้งแต่เด็กนั้น
ช่วยหล่อหลอมจนมาถึงวันที่เขาเปิดบริษัทของตัวเอง
จากบริษัทส่งออกสินค้าระหว่างประเทศ, ธุรกิจค้าส่งอาหารอย่างทูน่า,
ผลิตอาหารกระป๋องส่งขายต่างประเทศ
จนมาถึงโรงงานผลิตอาหารที่เป็นจุดเริ่มต้นของธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม จนมาเป็น
บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน)
ซึ่งเป็นบริษัทพัฒนาและจัดการด้านนิคมอุตสาหกรรม หรือเรียกง่าย ๆ
ก็คือเป็นการเปิดพื้นที่ให้ผู้ที่สนใจเช่าทำเป็นโรงงานอุตสาหกรรม
โดยในนิคมอุสาหกรรมจะมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่
อาทิ บ้านพัก หรือ อพาร์ทเม้นท์ และสิ่งอุปโภคบริโภคต่าง ๆ
ซึ่งบริษัทอมตะมีนิคมอุตสาหกรรมหลัก ๆ 3 แห่ง คือ อมตะนคร จังหวัดชลบุรี,
อมตะซิตี้ จังหวัดระยอง และอมตะซิตี้ เบียนหัว ที่อยู่ในประเทศเวียดนาม
บริษัทในเครืออมตะนั้นมีมากมาย ได้แก่ บริษัท อมตะซิตี้ จำกัด, บริษัท อมตะ
(เวียดนาม) จำกัด, บริษัท อมตะ วอเตอร์ จำกัด, บริษัท อมตะ ฟาซิลิตี้
เซอร์วิส จำกัด, บริษัท อมตะ แมนชั่นเซอร์วิส จำกัด, บริษัท อมตะ
ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด, บริษัท อมตะ คอนโดทาวน์ ระยอง จำกัด,
บริษัท อมตะ เพาเวอร์ จำกัด, บริษัท อมตะ จัดจำหน่ายก๊าซธรรมชาติ จำกัด,
บริษัท อมตะ ซัมมิท เรดดี้ บิลท์ จำกัด, บริษัท เวีย โลจิสติกส์ จำกัด,
บริษัท โรงพยาบาลวิภาราม (อมตะนคร) จำกัด และบริษัท เวีย ทรานส์ จำกัด
นอกเหนือจากการบริหารกิจการในเครืออมตะแล้ว คุณวิกรมยังเคยทำงานด้านอื่น
ไม่ว่าจะเป็นฐานะผู้จัดรายการวิทยุ ที่ใช้ชื่อรายการว่า “CEO Vision”
และก็ยังเคยเป็นคอลัมนิสต์ให้กับหนังสือพิมพ์คมชัดลึก, มติชน
และโพสต์ทูเดย์ แถมยังเคยเขียนหนังสือ “ผมจะเป็นคนดี” กับ “มองโลกแบบวิกรม”
ที่ขายได้ในระดับแสนเล่มมาแล้ว
อีกทั้งด้วยความที่คุณวิกรมเป็นนักบริหารที่มีความสามารถจึงทำให้เขาถูกสัมภาษณ์ลงนิตยสารมากมาย
อาทิ Thai Commerce, Thailand Timeout และ Forbes เป็นต้น ส่วนงานด้านอื่น
วิกรมเคยเป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
กับที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
และยังเคยเป็นประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย,
ประธานสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย, ประธานคณะกรรมการไทย ไต้หวัน สภาอุตสาหกรรม
สิ่งที่ทำให้ผู้ชายที่ชื่อวิกรมมีทุกสิ่งทุกอย่างในทุกวันนี้นั่นก็คือ
ความเป็น “นักฝัน” ของเขา ซึ่งเขาเคยเขียนไว้ในหนังสือ “มองโลกแบบวิกรม”
ว่า “ผมเป็นคนชอบหลอกตัวเองด้วยการสร้างความรู้สึกในแง่ดีบ่อย ๆ
กระทำจนเป็นนิสัยในการล่อหลอกตัวเองให้ทำในสิ่งที่ฝันไว้
เพราะความฝันคือเข็มทิศ เป็นพลังขับเคลื่อนชีวิต เป็นน้ำหล่อเลี้ยงมนุษย์
และที่สำคัญ ความฝันไม่เสียสตางค์”
ทั้งนี้ชีวิตในวัยเด็กของวิกรมนั้นไม่เคยมีแม้ห้องส่วนตัว
เขาจึงฝันอยากจะมีอาณาจักรส่วนตัวที่เขาจะมีอิสระและทำอะไรก็ได้ตามใจ
ฝันนั้นจึงกลายมาเป็นอาณาจักร “อมตะนคร” และ “บ้าน”
ก็เป็นอีกฝันที่คุณวิกรมปรารถนา เขาได้สร้างบ้าน 2 หลัง
หลังหนึ่งอยู่ที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ บนเนื้อที่กว่า 30 ไร่
พื้นที่ดังกล่าวเมื่อก่อนเป็นเพียงไร่ข้าวโพดธรรมดา
แต่ปัจจุบันเต็มไปด้วยธรรมชาติมากมาย ทั้งสระน้ำขนาดเกือบ 3 ใน 4
ของเนื้อที่, ภูเขา ที่นำดินจากการขุดสระมาสร้าง, ถ้ำ ที่สร้างขึ้นเอง
และในถ้ำยังมีห้องนอน ห้องรับแขก ภาพวาดเกี่ยวกับชีวิตครอบครัว
ที่เลียนแบบประติมากรรมจากผาแต้มอีกด้วย
ทุกสิ่งเหล่านี้ล้วนมาจากความฝันของเขาทั้งนั้น วิกรมเคยบอกว่า
เขาอยากมีภูเขา อยากมีถ้ำเป็นของตัวเอง
แต่การจะไปซื้อหรือยึดที่เป็นของหลวง หรือของรัฐคงไม่ได้
ดังนั้นเขาจึงต้องสร้างธรรมชาติเหล่านั้นขึ้นมา
นอกจากนี้ในเนื้อที่ดังกล่าวยังเต็มไปด้วยต้นไม้ที่เขาปลูกไว้
และคาดว่าอีกไม่กี่ปีบนเนื้อที่ของเขาจะเป็นป่าสงวนย่อม ๆ เลยทีเดียว
ท่ามกลางธรรมชาติ วิกรมยังได้สร้างบ้านในสระน้ำอีกด้วย
โดยเขาได้ตั้งชื่อไว้ว่า “ศานติสงบ”
อันเป็นสถานที่ที่เขาจะได้สัมผัสความสงบจากธรรมชาติ
ซึ่งเป็นสิ่งที่ปลูกฝังเขามาตั้งแต่เด็ก ๆ
ส่วนบ้านอีกหลังของวิกรมอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร ใช้ชื่อว่า
“AmataCastle” โดยเขาตั้งใจสร้างให้เป็นปราสาทหินทรายฝังบรอนซ์หลังใหญ่
ภายในจะมีทั้งสเตเดียมแบบกรีกโรมัน, ห้องบอลรูม และสวนป่าหิมพานต์
พร้อมทั้งยังเปิดเป็นหอศิลป์โชว์ภาพเขียนของศิลปินในเมืองไทย
อีกทั้งยังมีพิพิธภัณฑ์จัดแสดงของโบราณและของใช้ส่วนตัวที่มีค่าทางจิตใจต่อตัวเขาอีกด้วย
แม้ชีวิตวิกรมจะมีหลายสิ่งที่ทำให้เขาได้รับการยกย่องและเชิดชูให้เป็นบุคคลที่มากไปด้วยความสามารถ
เป็นคนที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล และประสบความสำเร็จมาก ๆ คนหนึ่ง
แต่ใครจะรู้ว่าในอีกมุมชีวิตของวิกรมยังมีเรื่องให้อึ้งได้เช่นกัน
พร้อมกับเกิดคำถามตามมาว่า “เขาทำเช่นนี้ได้อย่างไร”
ทั้งนี้วิกรมเคยมีปัญหากับพ่อ และถึงขนาดว่าเขาได้ทำร้ายพ่อมาแล้ว
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เขาต้องหนีออกจากบ้าน
และทุกวันนี้เขาก็ไม่เคยกลับบ้านนานมาแล้วหลายปี และที่เคยคุยกับพ่อก็เมื่อ
5 ปีที่ผ่านมา แถมเป็นการคุยกันทางโทรศัพท์อีกต่างหาก
“ผมล้มเหลวกับครอบครัว โดยเฉพาะกับพ่อ
และนี่คือสิ่งที่ผมอยากถ่ายทอดให้แก่คนรุ่นใหม่ อะไรที่เป็นสีดำ
อะไรที่เป็นความผิดพลาดในชีวิตของผม ผมไม่ปิดบังเลยนะ
อย่างเรื่องที่ผมขัดแย้งกับพ่อ ผมไม่อยากให้มันเกิดกับคนอื่น
ผมถึงเอาตัวผมเป็นตัวอย่าง เอาตัวผมไปเป็นตัวละคร
ให้คนอื่นได้ดูว่าตัวละครตัวนี้มันเต้นผิดยังไง มันร้องผิดรำผิดยังไง”
ส่วนชีวิตด้านครอบครัวนั้นเขาเคยแต่งงานมาก่อนแล้ว
หากคุณเคยดูบทสัมภาษณ์รายการหรือสื่อต่าง ๆ
ถ้าถามเรื่องชีวิตครอบครัวเขาก็จะบอกเสมอว่า
เขามีภรรยาคนเดียวและจะมีคนสุดท้ายก็คือ เคลลี่
วิกรมกับเคลลี่เจอกันที่ไต้หวัน
ตอนนั้นเขาเพิ่งจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และได้ไปเรียนต่อที่ไต้หวัน
เคลลี่เป็นลูกสาวของนายสถานีวิทยุกระจายเสียง
ส่วนแม่เป็นเจ้าของโรงงานตุ๊กตาหินส่งออกไปขายยังต่างประเทศ
ความน่ารักและเป็นคนเก่งของเคลลี่
ทำให้วิกรมตกหลุมรักและประทับใจในความมีน้ำใจของเธอที่ได้ช่วยเหลือเกื้อกูลเด็กพลัดถิ่นอย่างเขา
จนทำให้เป็นบ่อเกิดแห่งความรัก
ความซาบซึ้งใจและความผูกพันในมิตรภาพของกันและกัน วิกรมเล่าว่า
“ตอนนั้นผมเพิ่งเริ่มติดต่อการค้า บางวันแย่หนักมีเงินติดตัวเพียง 25
สตางค์เท่านั้น
ก็มีแต่เคลลี่ที่ส่งเงินมาทางจดหมายครั้งละ 5 เหรียญ 10 เหรียญ
ให้ผมได้ใช้ประทังชีวิต” อีก 10 ปีต่อมา
เขาและเคลลี่ก็จัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โตขึ้นที่ไทเปและสวนสามพราน
ชีวิตคู่ของวิกรมมีความสุขดีมาตลอดจนถึงช่วงก่อนอายุ 30 ปี
ธุรกิจของวิกรมเริ่มอยู่ตัว เขากับภรรยาไม่เคยทะเลาะกันเลย
เพราะมีความรักแบบเพื่อนที่เข้าอกเข้าใจกันดี
แต่ไม่นานนักความรักระหว่างคนทั้งสองก็เริ่มเกิดปัญหาจากเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ
วิกรมจึงส่งเคลลี่ไปเรียนปริญญาโทที่อเมริกา
ด้วยความหวังว่าการห่างกันจะทำให้อะไร ๆ ดีขึ้น
แต่ความจริงกลับไม่เป็นอย่างที่คิด
ความสัมพันธ์ระหว่างเขาทั้งสองยิ่งยากจะประสานให้ดีดังเดิม
สุดท้ายทั้งคู่ก็ได้หย่าขาดจากกัน การตัดสินใจเลิกกันของทั้งคู่
ทำให้เขาใช้เวลารักษาแผลใจอยู่ช่วงใหญ่ และทำให้วิกรมสิ้นศรัทธาต่อความรัก
หมดความเชื่อมั่นและความหวังในเรื่องการแต่งงานเลยทีเดียว
จนในที่สุดเขาก็กลับมาใช้ชีวิตใหม่อีกครั้ง
พร้อมกับมีผู้หญิงมากมายเข้ามาชีวิต แต่เขาก็ไม่เคยแต่งงาน
หรือยกย่องใครมาเป็นภรรยา จนทำให้เขาถูกสังคมมองว่า
เป็นเพลย์บอยคนหนึ่งของเมืองไทย
ซึ่งผู้หญิงที่เข้ามาในชีวิตวิกรมทุกคนจะต้องยอมรับในเงื่อนไขและขอบเขตแห่งความสัมพันธ์ไว้ล่วงหน้า
ต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเข้าใจ และการเป็นอิสระต่อกัน
ไม่มีการผูกมัดหรือมีพันธะใด ๆ ต่อกัน
หากมีผลพวงที่เกิดจากความสัมพันธ์ขึ้นก็จะต้องจบลงที่คลินิกเท่านั้น
“ผมทำผู้หญิงท้อง 10 กว่าคน และพาไปทำแท้งทั้งหมด
ถ้าเกิดมาแล้วเป็นปัญหาจะให้ (เด็ก) เกิดมาทำไม ก็พาไปทำแท้ง
ทำให้ทุกวันนี้ผมไม่มีภาระเรื่องลูก ลูกของผมคนแรกถ้าผมไม่ให้เธอทำแท้ง
วันนี้เขามีอายุ 30 ปีแล้ว”
สำหรับเหตุผลที่เขาเลือกการทำแท้ง ก็เนื่องจากความคิดที่ว่า
ไม่ต้องการสร้างปัญหาให้กับใคร ไม่ว่าผู้หญิงหรือคนรอบข้างและสังคม
โดยเฉพาะผู้ที่จะเกิดมาซึ่งไม่มีส่วนร่วมรับรู้ในสิ่งที่พ่อกับแม่ได้สร้างขึ้น
หากพ่อกับแม่ไม่มีความพร้อมในทุกด้าน
ก็เท่ากับเรากำลังสร้างบาปให้แก่ผู้บริสุทธิ์
และมีส่วนในการสร้างปัญหาและมลภาวะแก่สังคม ถ้าถามเขาว่า
แล้วทรัพย์สมบัติที่มีมากมายเขาจะให้ใคร เขาบอกว่า คนนั้นอาจจะเป็นลูกหลาน
เป็นญาติ เป็นพนักงาน หรือใครก็ได้ที่เป็นคนดี
สามารถสืบทอดเจตนารมณ์ของเขาได้