Home »
Uncategories »
วิธีรักษาโรคเริม ประโยชน์ดีๆอย่าลืมแชร์นะคับ แบ่งความรู้ให้กับผู้อื่นเป็นทานอันประเสริฐ
วิธีรักษาโรคเริม ประโยชน์ดีๆอย่าลืมแชร์นะคับ แบ่งความรู้ให้กับผู้อื่นเป็นทานอันประเสริฐ
วิธีรักษาโรคเริม ประโยชน์ดีๆอย่าลืมแชร์นะคับ แบ่งความรู้ให้กับผู้อื่นเป็นทานอันประเสริฐ
ถ้าผู้ป่วยมีอาการแสดงชัดเจน แพทย์จะให้การรักษาไปตามอาการ (เช่น ให้ยาแก้ปวดลดไข้ ยาบรรเทาอาการคัน ให้สารน้ำในรายที่มีภาวะขาดน้ำ)
ร่วมไปกับการให้ยาต้านไวรัส ซึ่งจะช่วยลดความรุนแรงของโรค
ช่วยให้หายเร็วขึ้น และลดโอกาสการแพร่เชื้อให้ผู้อื่น
แต่มักจะไม่ได้มีผลในการป้องกันการกำเริบซ้ำ
เพราะยาต้านไวรัสไม่สามารถกำจัดเชื้อไวรัสที่แฝงตัวอยู่ในปมประสาทได้
ส่วนในรายที่มีอาการแสดงไม่ชัดเจน
ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชียวชาญเพื่อทำการตรวจวินิจฉัย
ซึ่งวิธีการรักษาโรคนี้ที่สำคัญคือการให้ยาต้านไวรัส ซึ่งมีแนวทางดังนี้
โรคเริมส่วนใหญ่มักมีอาการไม่รุนแรง
ผู้ที่ไม่ได้รับการรักษามักหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์
โดยเฉพาะเริมที่กลับมาเป็นซ้ำ ซึ่งจะมีอาการน้อยกว่า
(ตุ่มน้ำมีขนาดเล็กและมีจำนวนน้อยกว่า) หายเร็วกว่า และมักไม่มีอาการอื่น ๆ
ร่วมด้วย
ในรายที่มีเริมขึ้นที่บริเวณตาควรรีบไปพบจักษุแพทย์ภายใน 24 ชั่วโมง
ถ้าพบว่ามีกระจกตาอักเสบจากเชื้อเริม (Herpetic keratitis)
แพทย์จะให้ยาต้านไวรัสชนิดหยอดตาหรือป้ายตา เช่น ยาหยอดตาไตรฟลูริดีน
(Trifluridine) ชนิด 1% ใช้หยอดตาวันละ 9 ครั้ง (ประมาณ 2 ชั่วโมงครั้ง),
ยาขี้ผึ้งป้ายตาไวดาราบีน (Vidarabine) ชนิด 3% ใช้ป้ายวันละ 5 ครั้ง นาน
21 วัน ส่วนในรายที่เป็นรุนแรงอาจต้องให้รับประทานยาอะไซโคลเวียร์
(Acyclovir)ครั้งละ 200-400 มิลลิกรัม วันละ 5 ครั้ง นาน 10 วัน
สำหรับผู้ที่ติดเชื้อเริมครั้งแรกที่บริเวณหนัก
แพทย์จะให้รับประทานยาอะไซโคลเวียร์ (Acyclovir) ครั้งละ 400 มิลลิกรัม
วันละ 5 ครั้ง นาน 10-14 วัน
สำหรับผู้ที่เป็นตะมอยเริม (Herpetic whitlow)
แพทย์จะให้รับประทานยาอะไซโคลเวียร์ (Acyclovir) ครั้งละ 400 มิลลิกรัม
วันละ 3 ครั้ง นาน 7 วัน
สำหรับการติดเชื้อเริมครั้งแรกในช่องปากหรืออวัยวะเพศ
แพทย์จะให้รับประทานยาอะไซโคลเวียร์ (Acyclovir)ครั้งละ 200 มิลลิกรัม
วันละ 5 ครั้ง ทุก ๆ 4 ชั่วโมง (เว้นช่วงนอนหลับตอนดึก)
หรือให้รับประทานในขนาด 400 มิลลิกรัม วันละ 3 ครั้ง ทุก ๆ 8 ชั่วโมง นาน
10-14 วัน
ส่วนในเด็กที่เป็นเริมในช่องปากแพทย์จะให้รับประทานยาอะไซโคลเวียร์ในนาด 15
มิลลิกรัม/กิโลกรัม วันละ 5 ครั้ง นาน 7 วัน
สำหรับการติดเชื้อซ้ำในบริเวณช่องปาก (ริมฝีปากด้านนอก เหงือก
หรือเพดานปาก) หรืออวัยวะเพศ แพทย์จะให้รับประทานยาอะไซโคลเวียร์
(Acyclovir) ครั้งละ 400 มิลลิกรัม วันละ 3 ครั้ง ทุก ๆ 8 ชั่วโมง นาน 5
วัน
สำหรับผู้ที่เป็นเริมที่อวัยวะเพศซ้ำอยู่บ่อย ๆ คือมากกว่าปีละ 6 ครั้ง
แพทย์จะให้รับประทานยาอะไซโคลเวียร์ (Acyclovir) ครั้งละ 400 มิลลิกรัม
วันละ 2 ครั้ง ทุกวัน ติดต่อกันอย่างน้อย 1 ปี
ซึ่งวิธีนี้จะช่วยลดอัตราการเป็นซ้ำและลดการแพร่เชื้อของผู้ป่วยที่ไม่แสดงอาการได้
ในผู้ป่วยโรคเริมที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ แพทย์จะให้ยาต้านไวรัสชนิดอื่น
เช่น แฟมซิโคลเวียร์ (Famciclovir) รับประทานครั้งละ 250 มิลลิกรัม
หรือให้วาลาไซโคลเวียร์ (Valaciclovir) รับประทานครั้งละ 500 มิลลิกรัม
วันละ 3 ครั้ง นาน 7-10 วัน
ในรายที่สงสัยว่ามีภาวะแทรกซ้อน (เช่น สมองอักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ
ตับอักเสบ), มีการติดเชื้อในทารกแรกเกิด หรือเป็นโรคเริมชนิดแพร่กระจาย
แพทย์จะรับตัวผู้ป่วยไว้รักษาในโรงพยาบาล และให้ยาอะไซโคลเวียร์
(Acyclovir) ฉีดเข้าหลอดเลือดดำนาน 10-14 วัน
หญิงตั้งครรภ์ที่มีการติดเชื้อเริมครั้งแรกที่ช่องคลอดหรือปากมดลูกในระยะใกล้คลอด
แพทย์จะแนะนำให้ผ่าคลอดทางหน้าท้อง
เพื่อป้องกันไม่ให้ทารกเกิดการติดเชื้อในขณะคลอดผ่านทางช่องคลอด
สำหรับยาทา ในปัจจุบันยังไม่มียาชนิดใดที่ได้ผลดีกับโรคนี้
ยาทาอาจจะได้ผลดีในแง่ลดอาการปวด ทำให้ผื่นแห้งเร็ว ซึ่งยาที่นิยมใช้ก็คือ
ครีมอะไซโคลเวียร์ ที่ใช้ได้ผลเฉพาะกับเริมที่เป็นครั้งแรก
และไม่ช่วยลดจำนวนของเชื้อหรือลดระยะเวลาที่เป็นโรค ส่วนยาทาอื่น ๆ
นั้นต้องเลือกให้ดีเพราะอาจมีแอลกอฮอล์หรือสารที่ระคายเคืองอย่างอื่นซึ่งทำให้แผลหายช้า
ส่วนยาทาที่ผสมสเตียรอยด์ก็ไม่ควรใช้ เพราะแผลจะหายได้ช้า
ครีมพญายอ ซึ่งทำจากสมุนไพรเสลดพังพอนตัวเมีย (พญายอ)
ได้ผ่านการศึกษาวิจัยมาแล้วและพบว่า
สามารถช่วยรักษาเริมที่อวัยวะเพศที่เป็นครั้งแรกได้ผลดีพอ ๆ
กับครีมอะไซโคลเวียร์ (ประสิทธิภาพยังสู้อะไซโคลเวียร์ชนิดรับประทานไม่ได้)
แต่ไม่สามารถป้องกันการกำเริบซ้ำได้
ส่วนเริมที่กำเริบซ้ำจะใช้ยาทาเหล่านี้ไม่ได้ผล ต้องใช้ยารับประทานเท่านั้น
ขอบคุณข้อมูล : share-si.com