Home »
Uncategories »
แนวทางการทำระบบน้ำหยด ในงบ 3,000 บาท ปลูกผักได้ตลอดทั้งปี
แนวทางการทำระบบน้ำหยด ในงบ 3,000 บาท ปลูกผักได้ตลอดทั้งปี
สำหรับเกษตรกร ปัญหา ดินไม่กักเก็บน้ำ ดินแห้ง ไม่อุ้มน้ำ
เป็นปัญหาเฉพาะพื้นที่ซึ่งยากจะแก้ปัญหาได้ แต่มันก็พอมีวิธีรับมืออยู่
กับการระบบน้ำหยด เพียงแค่นี้ก็มีน้ำตลอดฤดู ปลูกผักได้ตลอดทั้งปี
วางระบบเองได้ง่ายๆ
หลักการก็ง่ายๆเลย คือ หากดินไม่อุ้มน้ำ
แทนที่จะรดน้ำลงไปแล้วน้ำซึมลงสู่ใต้ดินหมดในระยะเวลาอันรวดเร็ว เพราะ
ดินไม่กักเก็บน้ำ แล้งมาก หรือ น้ำระเหยเร็วเกินไป พืชก็ไม่ทันได้รับน้ำ
หากเราปล่อยให้น้ำหยดลงไปเรื่อยๆจนดินชื้น พืชก็จะยังได้รับน้ำอยู่เรื่อย
เพราะ ดินชุ่มน้ำตลอดเวลา
สาเหตุที่คิดค้นระบบน้ำหยดนี้ขึ้นมา
เพราะบางพื้นที่การเพาะปลูกนั้นอยู่บนพื้นที่สูง น้ำไม่ไหลผ่านตามธรรมชาติ
พอถึงเวลาฝนตกพื้นดินไม่อุ้มน้ำ เมื่อข้าสู่ฤดูแล้งมักจะขาดน้ำเป็นประจำ
ทำให้ผืนดินแห้งแล้งเพาะปลูกอะไรได้ยาก
แต่สำหรับระบบน้ำหยดนี้เราจะต่อท่อไปตามแนวแปลงปลูก และ
หยดน้ำลงไปสู่หน้าดินโดยตรง
เราสามารถวางระบบน้ำหยดกำหนดจุดที่จะหยดน้ำให้ตรงกับจุดที่พืชเจริญเติบโตขึ้นก็ได้
ทำให้ดินบริเวณที่เพาะปลูกมีความชุ่มชื่นตลอดเวลา
อีกทั้งเวลาเราจะใส่ปุ๋ยให้พืชเราไม่ต้องไปเดินให้ตามแปลง
แค่ผสมลงไปในถังพักน้ำของระบบน้ำหยด
แล้วน้ำที่เราหยดลงแปลงก็จะนำพาปุ๋ยไปเอง แก้ปัญหาดินแห้งแล้ง และ
เพิ่มความสะดวกเวลาให้ปุ๋ยได้อีกด้วย
“ระบบสวนครัวน้ำหยดราคาประหยัดที่เราคิดกันขึ้นมานี้
เกิดจากแนวคิดให้เกษตรกรในพื้นที่ปฏิรูปที่ดิน
เพื่อการใช้ทรัพยากรน้ำอย่างเกิดประโยชน์สูงสุด
โดยได้ทดลองใช้เป็นครั้งแรกที่ จ.มหาสารคาม ตั้งแต่ปี 2553
ปรากฏว่าได้ผลออกมาดีมาก
ที่สำคัญสามารถประยุกต์ใช้ได้กับการปลูกพืชผักในแปลงทุกขนาด ทุกพื้นที่
ใช้น้ำน้อย ประหยัดต้นทุน การบำรุงรักษาง่าย
อุปกรณ์หาซื้อได้ตามร้านค้าทั่วไป ด้วยเงินลงทุนแค่ไม่ถึง 3,000 บาท”
คุณธราวุฒิ ไก่แก้ว วิศวกรการเกษตรชำนาญการ
สำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ได้อธิบายถึงข้อดีระบบสวนครัวน้ำหยด
ทดลองแล้วในแปลงปลูกขนาดไม่เกิน 200 ตร.ม. กว้าง 10 ม.×ยาว 20 ม.
ปลูกพืชระยะห่างระหว่างแถว 50 ซม.
ผลที่ได้คือพืชได้น้ำสม่ำเสมอ เพราะเป็นระบบให้น้ำเฉพาะราก
ทั้งยังประหยัดแรงงาน เวลา การเปิดให้น้ำแต่ละครั้งใช้เวลาประมาณ 10-30
นาที ทำให้ใช้น้ำน้อยแค่ 50 ลบ.ม. ต่อฤดูกาลผลิต (ระยะเวลา100 วัน)
และประหยัดมากๆ ค่าใช้จ่ายเบ็ดเสร็จ มีค่าน้ำ ค่าไฟสูบน้ำแค่ 200 บาท
ต่อฤดูกาลผลิตเท่านั้นเอง
กรรมวิธีติดตั้งและทำระบบไม่ยากเย็น คนที่ไม่มีทักษะทางช่าง
ทำได้สบายๆโดยเริ่มจากการวัดพื้นที่ตามความเหมาะสม เตรียมอุปกรณ์ ถังน้ำ
200 ลิตร ท่อพีวีซี วาล์วน้ำ ข้อต่อต่างๆ เทปน้ำหยด และอุปกรณ์ต่อพ่วง
เจาะรูก้นถังน้ำ 200 ลิตร ประมาณ 5 ซม. ติดตั้งทางน้ำออก
นำข้อต่อพีวีซีเกลียวนอกพันด้วยเทปพันเกลียวขันเข้ารูให้แน่นสิทกันแล้วล็อกข้อต่อพีวีซีเกลียวนอก
ต่อมาทำกานติดตั้งวาล์วท่อพีวีซี โดยติดตั้งชุดกรองน้ำเกษตร
ให้หัวลูกศรที่ตัวกรองหันไปในทิศทางเดียวกับการไหลของน้ำ
ติดตั้งท่อพีวีซีตามความกว้างของหัวแปลง
นำถังตั้งบนที่สูงโดยให้สูงกว่าแปลงปลูก 1-2 เมตร
จากนั้นเจาะท่อพีวีซีในตำแหน่งที่ต้องการวางสายเทปน้ำหยด
ใส่ลูกยางกันรั่วในรูที่เจาะ
แล้วทำการติดตั้งข้อต่อเทปน้ำหยด เปิดน้ำไล่เศษตะกอนต่างๆออก
ก่อนครอบฝาพีวีซีปิดปลายทั้งสองข้าง
แล้วเสียบเทปน้ำหยดเข้ากับข้อต่อล็อกเทปให้แน่นโดยให้รูน้ำหยดหงายขึ้น
ลองเปิดวาล์วทดสอบระบบ ขั้นตอนสุดท้ายพันปลายสายเทปน้ำหยดให้แน่น
เป็นอันเสร็จสิ้นชาวเกษตรกรจะได้ระบบสวนครัวน้ำหยดราคาประหยัดแล้ว
สำหรับเกษตรกรที่มีพื้นที่ในการปลูกและมีเงินทุนมากพอ
สามารถนำวิธีการดังกล่าวไปประยุกต์ใช้ให้พอเหมาะกับพื้นที่ได้ไม่ยาก
แค่เพิ่มอุปกรณ์ต่างๆเข้าไปตามสัดส่วนเท่านั้นค่ะ
ส่วนใครที่อยากประหยัดพลังงาน หรืออยู่ในพื้นที่ไฟฟ้าเข้าไม่ถึง
ก็สามารถพัฒนาต่อยอดนำระบบมอเตอร์สูบน้ำ โดยใช้พลังางานโซลร์เซลล์
มาให้เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกด้วย
ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก : postnoname