10 วิธีสวดมนต์ ทำแล้วดี ชีวิตมีสุข

10 วิธีสวดมนต์ ทำแล้วดี ชีวิตมีสุข

วิถีชีวิตชาวพุทธสวดใหญ่มักเข้าวัด ฟังเทศน์ฟังธรรม และการสวดมนต์ก็ถือเป็นเรื่องสำคัญเช่นกัน หลายๆคนก็คงจะเคยได้ยินถึงอานิสงค์ต่างๆของการสวดมนต์ แต่การสวดมนต์นั้นหากเราไม่ตั้งจิตให้มีสมาธิหรือทำแบบไม่ตั้งใจก็จะไม่ได้อานิสงค์อย่างแน่นอน

วันนี้เราจึงได้นำ 10 วิธีในการสวดมนต์เพื่อให้เกิดอานิสงค์จากการสวดมนต์

1. “การทำดี ทำได้ทันทีโดยไม่ต้องเลือก ไม่ต้องรอ” การสวดมนต์ก็เช่นกัน สามารถทำได้โดยไม่ต้องรอไปที่วัดอย่างเดียว แต่ควรเลือกสถานที่และเวลาที่มีความสงบและมีสิ่งรบกวนน้อยที่สุด เช่น ห้องนอนของตัวเองในเวลาก่อนนอน

2. เตรียมตัว เคลียความคิดที่ไม่ดีต่างๆ วางความโกรธหรือสิ่งต่างๆที่ทำให้จิตใจหม่นหมอง ทำจิตใจและสมองให้ปลอดโปร่ง มีการกล่าวไว้ว่า “การสวดมนต์เพื่อหวังจะลบความรู้สึกแย่ในใจ ไม่ช่วยอะไรให้ดีขึ้น” เพราะมันจะเหมือนกับเศษตะกอนที่อยู่ในน้ำ ต่อให้เติมน้ำที่กลั่นมาใสสะอาดเท่าไหร่มันก็ยังขุ่นอยู่อย่างนั้น

3. การเลือกบทสวดนั้นไม่ว่าจะเลือกบทไหนก็มีความหมายที่ดีทั้งนั้น เลือกบทยาวแต่ไม่มีสติ หรือไม่มีสมาธิตอนสวดก็ไม่มีเป็นผล ควรเลือกบทสวดที่พอจูนสมาธิให้กับตัวเองได้สัก 3-5 นาทีเป็นอย่างต่ำ เช่น สวดอะระหังสัมมาฯ+คาถาชินบัญชร, สวดอะระหังสัมมาฯ+อิติปิโสฯ+พาหุงฯ+ชินบัญชร



4. อย่าหมกมุ่นถึงสิ่งที่จะตามมาหรือผลของคาถานั้นๆ “อย่าโฟกัสให้จิตจ้องลาภ” ควรโฟกัสที่การใช้เวลาสวดไปเพื่อการจูนสมาธิและจิต ให้ว่างเปล่า บริสุทธิ์ พร้อมจะคิดอะไรใหม่ ๆ ดี ๆ เพิ่มขึ้นมาได้ (คิดดี ทำดี เป็นรากฐานก็การได้รับสิ่งดี)

5. นั่งสวดมนต์ในท่าที่สบาย ขัดสมาธิก็ได้ พับเพียบก็ได้ แต่ให้เป็นท่าที่สามารถอยู่นิ่งได้นาน ไม่ขยุกขยิกบ่อย ๆ ให้เสียสมาธิ

6. การนั่งสวดมนต์ (ไปจนถึงนั่งสมาธิ) ควรนั่งให้หลังตรง ไม่ค่อมหรือแอ่นตัว

7. ผลพลอยได้จากการนั่งหลังตรง ไม่เพียงแต่สมาธิที่ดี แต่ยังได้บุคลิกภาพที่ดีด้วย

8. ขณะสวดมนต์ควรจะเปล่งออกเสียง ในระดับที่พอดีไม่พูดพึมพัมในลำคอ หรือตะโกนเสียงดัง สามารถพูดแบบกระซิบก็ได้ “ขอให้ปากได้ขยับตามบทสวดแบบชัดถ้อยชัดคำ” ทำเพื่อให้รู้ตัวว่ากำลังสวดมนต์อยู่ในขณะนี้ จิตไม่ได้ล่องลอยไปไหน (ในทางความเชื่อ การสวดให้ชัดถ้อยชัดคำ ก็เพื่อให้พระท่านรับรู้ว่าเราต้องการจะสื่อสารอะไร ท่านจะได้ประทานพรได้ถูก แต่ถ้ามองในทางวิทยาศาสตร์หรือจิตวิทยา เสียงที่เปล่งออกมา ปากที่ขยับ มันคือการฝึกจิตให้จดจ่ออยู่กับปัจจุบันที่สุด)



9. หลังจากสวดมนต์แล้วอย่าลืมนั่งสมาธิเพื่อภาวนา แผ่เมตตาให้กับสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย และสิ่งที่มองไม่เห็น ใครหรืออะไรก็ตามที่มีผลต่อชีวิตเรา ทั้งในด้านดีและด้านร้าย ทั้งในด้านที่เป็นมิตรและเป็นศัตรู (ในทางพุทธศาสนา คือ การนึกถึงเรื่องเวรกรรมบาปบุญ สร้างบุญให้กับตนเองและผู้อื่น แต่ในทางจิตวิทยา คือ การชำระจิตให้สะอาดกว่านี้ ไม่ให้รู้สึกว่าติดค้างอะไร แถมยังได้กำลังใจจากการนึกถึงแต่สิ่งดี ๆ อีกด้วย)

10. หลังจากสวดมนต์จบแล้ว พยายามไม่ให้ผิดศีล 5 ถ้าเป็นเวลานอน (สวดมนต์ก่อนนอน) สวดมนต์-นั่งสมาธิแผ่เมตตาเสร็จแล้วก็รีบนอนเลย เพื่อให้นอนฝันดีที่สุดจากจิตที่เพิ่งชำระสะอาดมาหมาด ๆ หากยังต้องมีกิจกรรมอื่นหลังจากสวดมนต์-นั่งสมาธิจบแล้ว ให้ตั้งปณิธานไว้ว่าจะไม่ผิดศีล 5 เลยภายในกี่ชั่วโมง อาจพัฒนาจากไม่กี่ชั่วโมงเป็นทั้งวันได้ยิ่งดี (ในทางความเชื่อ ก็เหมือนกับว่าถ้าเราอยากจะได้สิ่งดี อยากให้พระท่านประทานพร เราก็ต้องพิสูจน์ตัวเองให้ท่านเห็นก่อนว่าเราจะทำดีจริง ๆ โดยมีศีล5กำกับ แต่ถ้าในทางจิตวิทยามันก็คือการดัดนิสัยตัวเองให้ได้รับพลังบวกมาก ๆ จากการทำดี คิดดีให้มากนั่นเอง)

อานิสงค์จากการสวดมนต์เป็นสิ่งที่ต้องทำเอง ใครก็ไมาสามารถทำแทนให้ได้ อย่างน้อยๆเราสวดมนต์สมาธิก็เพื่อความสบายใจ เพื่อให้จิตได้พัก ได้มีสมาธ อย่าลืมสวดมนต์กันทุกวันหรืออย่างน้อยๆก็อาทิตย์ละครั้งก็ยังดี

ขอขอบคุณ : share-si.com