ผู้เขียน
หลายคนมีความฝันถึงอนาคตว่าต้องการมีชีวิตแบบบ้านไร่ ทำสวน ปลูกต้นไม้ ได้มีโอกาสใกล้ชิดกับธรรมชาติ และยึดอาชีพเป็นเกษตรกร สามารถเลี้ยงชีพตัวเองได้ สร้างรายได้ยั่งยืนและมีความสุข บนพื้นที่ของตัวเอง คุณสายสุนีย์ สุวรรณดี หรือ ป้าน้อย เจ้าของฟาร์มสายทอง แหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรแห่งใหม่ ของจังหวัดสระบุรี ซึ่งเป็นสวนที่ปลูกมัลเบอร์รี่หรือลูกหม่อนสด ปลอดสารเคมี พร้อมการแปรรูปครบวงจร เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของคนทำตามความฝันจนประสบความสำเร็จ
ป้าน้อย เล่าว่า เดิมเป็นคนกรุงเทพฯ ไม่ได้มีความรู้เรื่องการเกษตร อยู่กรุงเทพฯ ก็ทำอาศัยเลี้ยงชีพด้วยธุรกิจค้าขาย แต่ความฝันของป้าน้อยคืออยากเป็นคาวเกิร์ล เพราะชอบดูหนังคาวบอยของตะวันตก เมื่อ 30 ปีก่อน จึงตัดสินใจซื้อที่ดิน แถวจังหวัดสระบุรี ก่อนจะย้ายมาทำเกษตรในพื้นที่แห่งนี้
ซึ่งก่อนที่จะมาปลูกมัลเบอร์รี่ ปลอดสารเคมีแบบนี้ พื้นที่นี้ก็เคยผ่านการปลูกกระถิ่น การเลี้ยงโคนม มาก่อน แต่การเลี้ยงโคนม เป็นอาชีพที่เหนื่อยมากซึ่งก็ทำมาหลายปีกว่าจะหยุดลง แล้วหันมาปลูกมัลเบอร์รี่แทน โดยเริ่มจากมีต้นแม่พันธุ์อยู่แค่เพียง 2 ต้นเท่านั้น ซึ่งลูกสาวซื้อมาให้จากเชียงใหม่ เอามาปลูกที่สวนช่วงที่เลี้ยงโคนม
แต่ก่อนนั้นก็ปลูก ก็คือแค่ปลูกอยู่แบบนั้น ไม่ออกลูก ออกผล หลายปีก็ไม่มีผลผลิต มีอยู่ช่วงหนึ่งจึงเอามีดไปฟันกิ่ง ผ่านไปอีกไม่กี่สัปดาห์ ปรากฏว่าต้นมัลเบอร์รี่ให้ผลผลิต นับไปอีกเดือนกว่าผลจะสุก จึงเกิดสนใจ บอกลูกสาวว่า ช่วยหาหนังสือมาให้อ่านหน่อย เพราะอยากรู้ จึงได้ศึกษาและสังเกตดูถึงลักษณะของต้นมัลเบอร์รี่ ว่ามีลักษณะหรือการดูแลอย่างไร
จึงทราบว่า การดูแลต้นมัลเบอร์รี่ไม่ยุ่งยากมาก ทั้งยังสามารถขยายกิ่งพันธุ์ เพื่อใช้ในการปลูกต่อได้อีกด้วย และวิธีการก็ไม่ได้ยาก โดยใช้วิธีการตอนกิ่ง ก็สามารถนำเอากิ่งที่ตอนนั้นไปลงปลูกและทำเป็นสวนมัลเบอร์รี่ได้ อีกทั้งยังพบว่าเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุ เช่น กรดโฟลิก มีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่นแอนโทไซยานิน เควอซิติน และสามารถทานได้ทั้งผลสดและแปรรูป ให้พลังงานต่ำ”
แต่กว่าจะประสบความสำเร็จได้อย่างทุกวันนี้ ป้าน้อย บอกว่า ก็ไม่ได้ง่ายเท่าใดนัก อาศัยให้ต้นไม้ช่วยสอนด้วยส่วนหนึ่ง และหาความรู้เพิ่ม ด้วยเพราะความรู้น้อย จึงต้องลองผิดลองถูกไป ผลผลิตที่ได้ก็แจกฟรี ทำฟรีไป เพื่อดูทิศทางตลาด ซึ่งต่อมาตลาดก็ให้การยอมรับอย่างมาก นำไปสู่การแปรรูปมัลเบอร์รี่ส่งขาย จากผลสดไปสู่ซอสมัลเบอร์รี่, แยมมัลเบอร์รี่, ไวท์มัลเบอร์รี่, น้ำมัลเบอร์รี่สกัด 100 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นการแปรรูปในฟาร์มสายทองแบบครบวงจร ได้มาตรฐาน ปลอดภัยไร้สารเคมีตั้งแต่กระบวนการปลูกจนถึงการแปรรูป
ทั้งป้าน้อย ยังบอกต่อด้วยว่า ประสบความสำเร็จได้อย่างทุกวันนี้ ก็ด้วยมัลเบอร์รี่เพียงสองต้นเท่านั้น เพราะการขยายพันธุ์ ไม่ได้ซื้อหามาเพิ่ม มาตรฐานทางรสชาติจะไม่ผิดเพี้ยนเลย นี่เป็นเทคนิคอย่างหนึ่งของฟาร์มสายทอง ซึ่งต้นมัลเบอร์รี่ทั้งหมดกว่า 600 ต้นได้จากกิ่งตอนของต้นแม่พันธุ์สองต้นนี้เท่านั้น
ปัจจุบัน ฟาร์มสายทอง ปลูกต้นมัลเบอร์รี่กว่า 600 ต้น บนพื้นที่ 5 ไร่ ใช้ระบบการปลูกแบบวงกลม หรือการปลูกเพื่อให้มีผลผลิตออกตลอดทั้งปี เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนทั้งผลสด และผลิตภัณฑ์แปรรูปภายในฟาร์ม
ด้านการตลาด ป้าน้อยชี้แจงว่า ขายผลสดและผลิตภัณฑ์แปรรูปไปยังศูนย์ของฝากของ องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) และส่งแยมมัลเบอร์รี่ขายไปยังร้าน Dairy Home เฉลี่ยเดือนๆ หนึ่งส่งแยมขายประมาณ 100 กิโลกรัม, น้ำมัลเบอร์รี่สกัด 100 เปอร์เซ็นต์ หลายร้อยขวด และซอสมัลเบอร์รี่ ซึ่งเป็นสินค้าตัวใหม่ล่าสุด ซึ่งได้รับการตอบรับดีมากจากตลาด รวมๆ แล้วมีรายรับเฉลี่ยเดือนละ 30,000-50,000 บาท
สำหรับป้าน้อย มองว่า การทำสวนมัลเบอร์รี่ทุกวันนี้ประสบความสำเร็จแล้ว เพราะนอกจากจะสามารถขายผลผลิตที่ได้จากฟาร์มแล้วนั้น ฟาร์มแห่งนี้ยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร เป็นศูนย์การเรียนรู้ให้คนได้เข้ามาเยี่ยมชมอีกด้วย
สำหรับใครที่สนใจเข้าไปเยี่ยมชมได้ที่ เลขที่ 77/1 บ้านกลุ่มพระบาท หมู่ 9 ต.หนองย่างเสือ อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี 18180 หรือโทร. (089) 045-1558
ที่มา https://www.sentangsedtee.com/featured/article_8264
วัชรี ภูรักษา | |
เผยแพร่ |
หลายคนมีความฝันถึงอนาคตว่าต้องการมีชีวิตแบบบ้านไร่ ทำสวน ปลูกต้นไม้ ได้มีโอกาสใกล้ชิดกับธรรมชาติ และยึดอาชีพเป็นเกษตรกร สามารถเลี้ยงชีพตัวเองได้ สร้างรายได้ยั่งยืนและมีความสุข บนพื้นที่ของตัวเอง คุณสายสุนีย์ สุวรรณดี หรือ ป้าน้อย เจ้าของฟาร์มสายทอง แหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรแห่งใหม่ ของจังหวัดสระบุรี ซึ่งเป็นสวนที่ปลูกมัลเบอร์รี่หรือลูกหม่อนสด ปลอดสารเคมี พร้อมการแปรรูปครบวงจร เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของคนทำตามความฝันจนประสบความสำเร็จ
ป้าน้อย เล่าว่า เดิมเป็นคนกรุงเทพฯ ไม่ได้มีความรู้เรื่องการเกษตร อยู่กรุงเทพฯ ก็ทำอาศัยเลี้ยงชีพด้วยธุรกิจค้าขาย แต่ความฝันของป้าน้อยคืออยากเป็นคาวเกิร์ล เพราะชอบดูหนังคาวบอยของตะวันตก เมื่อ 30 ปีก่อน จึงตัดสินใจซื้อที่ดิน แถวจังหวัดสระบุรี ก่อนจะย้ายมาทำเกษตรในพื้นที่แห่งนี้
ซึ่งก่อนที่จะมาปลูกมัลเบอร์รี่ ปลอดสารเคมีแบบนี้ พื้นที่นี้ก็เคยผ่านการปลูกกระถิ่น การเลี้ยงโคนม มาก่อน แต่การเลี้ยงโคนม เป็นอาชีพที่เหนื่อยมากซึ่งก็ทำมาหลายปีกว่าจะหยุดลง แล้วหันมาปลูกมัลเบอร์รี่แทน โดยเริ่มจากมีต้นแม่พันธุ์อยู่แค่เพียง 2 ต้นเท่านั้น ซึ่งลูกสาวซื้อมาให้จากเชียงใหม่ เอามาปลูกที่สวนช่วงที่เลี้ยงโคนม
แต่ก่อนนั้นก็ปลูก ก็คือแค่ปลูกอยู่แบบนั้น ไม่ออกลูก ออกผล หลายปีก็ไม่มีผลผลิต มีอยู่ช่วงหนึ่งจึงเอามีดไปฟันกิ่ง ผ่านไปอีกไม่กี่สัปดาห์ ปรากฏว่าต้นมัลเบอร์รี่ให้ผลผลิต นับไปอีกเดือนกว่าผลจะสุก จึงเกิดสนใจ บอกลูกสาวว่า ช่วยหาหนังสือมาให้อ่านหน่อย เพราะอยากรู้ จึงได้ศึกษาและสังเกตดูถึงลักษณะของต้นมัลเบอร์รี่ ว่ามีลักษณะหรือการดูแลอย่างไร
จึงทราบว่า การดูแลต้นมัลเบอร์รี่ไม่ยุ่งยากมาก ทั้งยังสามารถขยายกิ่งพันธุ์ เพื่อใช้ในการปลูกต่อได้อีกด้วย และวิธีการก็ไม่ได้ยาก โดยใช้วิธีการตอนกิ่ง ก็สามารถนำเอากิ่งที่ตอนนั้นไปลงปลูกและทำเป็นสวนมัลเบอร์รี่ได้ อีกทั้งยังพบว่าเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุ เช่น กรดโฟลิก มีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่นแอนโทไซยานิน เควอซิติน และสามารถทานได้ทั้งผลสดและแปรรูป ให้พลังงานต่ำ”
แต่กว่าจะประสบความสำเร็จได้อย่างทุกวันนี้ ป้าน้อย บอกว่า ก็ไม่ได้ง่ายเท่าใดนัก อาศัยให้ต้นไม้ช่วยสอนด้วยส่วนหนึ่ง และหาความรู้เพิ่ม ด้วยเพราะความรู้น้อย จึงต้องลองผิดลองถูกไป ผลผลิตที่ได้ก็แจกฟรี ทำฟรีไป เพื่อดูทิศทางตลาด ซึ่งต่อมาตลาดก็ให้การยอมรับอย่างมาก นำไปสู่การแปรรูปมัลเบอร์รี่ส่งขาย จากผลสดไปสู่ซอสมัลเบอร์รี่, แยมมัลเบอร์รี่, ไวท์มัลเบอร์รี่, น้ำมัลเบอร์รี่สกัด 100 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นการแปรรูปในฟาร์มสายทองแบบครบวงจร ได้มาตรฐาน ปลอดภัยไร้สารเคมีตั้งแต่กระบวนการปลูกจนถึงการแปรรูป
ทั้งป้าน้อย ยังบอกต่อด้วยว่า ประสบความสำเร็จได้อย่างทุกวันนี้ ก็ด้วยมัลเบอร์รี่เพียงสองต้นเท่านั้น เพราะการขยายพันธุ์ ไม่ได้ซื้อหามาเพิ่ม มาตรฐานทางรสชาติจะไม่ผิดเพี้ยนเลย นี่เป็นเทคนิคอย่างหนึ่งของฟาร์มสายทอง ซึ่งต้นมัลเบอร์รี่ทั้งหมดกว่า 600 ต้นได้จากกิ่งตอนของต้นแม่พันธุ์สองต้นนี้เท่านั้น
ปัจจุบัน ฟาร์มสายทอง ปลูกต้นมัลเบอร์รี่กว่า 600 ต้น บนพื้นที่ 5 ไร่ ใช้ระบบการปลูกแบบวงกลม หรือการปลูกเพื่อให้มีผลผลิตออกตลอดทั้งปี เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนทั้งผลสด และผลิตภัณฑ์แปรรูปภายในฟาร์ม
ด้านการตลาด ป้าน้อยชี้แจงว่า ขายผลสดและผลิตภัณฑ์แปรรูปไปยังศูนย์ของฝากของ องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) และส่งแยมมัลเบอร์รี่ขายไปยังร้าน Dairy Home เฉลี่ยเดือนๆ หนึ่งส่งแยมขายประมาณ 100 กิโลกรัม, น้ำมัลเบอร์รี่สกัด 100 เปอร์เซ็นต์ หลายร้อยขวด และซอสมัลเบอร์รี่ ซึ่งเป็นสินค้าตัวใหม่ล่าสุด ซึ่งได้รับการตอบรับดีมากจากตลาด รวมๆ แล้วมีรายรับเฉลี่ยเดือนละ 30,000-50,000 บาท
สำหรับป้าน้อย มองว่า การทำสวนมัลเบอร์รี่ทุกวันนี้ประสบความสำเร็จแล้ว เพราะนอกจากจะสามารถขายผลผลิตที่ได้จากฟาร์มแล้วนั้น ฟาร์มแห่งนี้ยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร เป็นศูนย์การเรียนรู้ให้คนได้เข้ามาเยี่ยมชมอีกด้วย
สำหรับใครที่สนใจเข้าไปเยี่ยมชมได้ที่ เลขที่ 77/1 บ้านกลุ่มพระบาท หมู่ 9 ต.หนองย่างเสือ อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี 18180 หรือโทร. (089) 045-1558
ที่มา https://www.sentangsedtee.com/featured/article_8264