ผู้เขียน
อดีตวิศวกร กับนักบัญชีดีกรีปริญญาตรี พ่วงดีกรีเศรษฐศาสตร์มหาบัณฑิตอีก 1 ใบ มีความมุ่งมั่นที่จะสร้างครอบครัวที่อบอุ่นในแบบเศรษฐกิจพอเพียง โดยตัดสินใจหันมาเดินตามรอยเกษตรทฤษฎีใหม่ตามศาสตร์พระราชา ทิ้งเวอร์เนียกับเครื่องคิดเลขมาจับจอบจับเสียมแทน
ตั้งต้นปลูกข้าว ผัก ผลไม้ เช่น สตรอว์เบอร์รี่ เพียงเพราะต้องการให้ลูกทานอาหารที่สด สะอาด และปลอดสารพิษ และเลี้ยงโคนมเพื่อนำมูลโคมาทำปุ๋ย
คุณสุทธิพงษ์ พลสยม อดีตวิศวกร และ คุณอุบลรัตน์ พลสยม อดีตนักบัญชีดีกรีปริญญาตรี พ่วงดีกรีเศรษฐศาสตร์มหาบัณฑิต เล่าให้ฟังถึงจุดเริ่มต้นของพวกเขา จุดเริ่มต้น พวกเขาก็ทำงานประจำอยู่ในเมืองกรุงแบบคนปกติทั่วไป จนกระทั่งตัดสินใจว่าจะมาทำแปลงเกษตร
คุณอุบลรัตน์ ให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า 3 ปีแรกที่มาลงมือทำเกษตร ไม่มีรายได้อะไรเลย และไม่มีความรู้อะไรเลยเกี่ยวกับการทำการเกษตร ลองผิดลองถูกอยู่นาน รายได้ก็ไม่มี จนกระทั่งได้ศึกษาพบวิธีการทำเกษตรแบบทฤษฎีใหม่ จึงตั้งต้นมาจากตรงนั้น เริ่มทำการเกษตรแบบผสมผสาน ใช้พื้นที่ที่มีการปลูกพืชหลากหลายชนิด โดยพื้นที่ทั้งหมดในปัจจุบันที่ทำเกษตรประมาณ 20 ไร่
ซึ่งแบ่งพื้นที่ออกไปทำการปลูกข้าว พืชผัก เลี้ยงสัตว์ และทำไร่สตรอว์เบอร์รี่เขาวงกต ซึ่งได้กลายมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของบ้านไร่ไออุ่น
ตั้งแต่วันที่เริ่มต้นจนถึงปัจจุบัน ที่สร้างบ้านไร่ไออุ่นขึ้นมา เป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว คุณอุบลรัตน์ บอก
“เราสองคน สามี-ภรรยา ตั้งใจมาสร้างบ้านไร่ไออุ่น ด้วยเหตุผลเพราะอยากสร้างครอบครัวที่อบอุ่นในแบบเศรษฐกิจพอเพียงและเดินตามรอยเกษตรทฤษฎีใหม่ตามศาสตร์พระราชา ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ทำการเกษตรมา เราสองคนต้องเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่หลายครั้งหลายหนมาก เพราะมันไม่ได้ง่ายดายไปหมดทุกอย่าง เราสองคนไม่มีใครมีความรู้ ในเรื่องการเกษตรมากนัก ต้องอาศัยการทำการบ้าน ศึกษา และค้นหาข้อมูลว่าจะทำการเกษตรแบบไหน จะปลูกอะไร จะจัดสรรพื้นที่ในการปลูก ต้องรู้ว่าอะไรอยู่ตรงไหน และจะดูแลอย่างไร
3 ปีแรก ที่มายึดอาชีพเป็นเกษตรกร แทบไม่มีรายได้อะไรเลย ปลูกอะไรก็ไม่ได้ดี จนกระทั่งเข้าสู่ปีที่ 4-5 จึงเริ่มมีรายได้เข้ามาบ้างจากผลผลิตที่ไร่ แต่ก็เป็นรายได้ที่ยังไม่สามารถเลี้ยงไร่ได้ พูดง่ายๆ คือ ยังเลี้ยงตัวเองไม่ได้ ก็เริ่มมาคิดหาวิธีการทำเกษตรใหม่ จนกระทั่งศึกษาการทำการเกษตรจากศาสตร์ของพระราชา ศึกษาหาความรู้จากองค์ความรู้ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช จึงยึดแนวทางการทำการเกษตรและดำเนินชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง”
คุณอุบลรัตน์ เล่าต่อว่า จากพื้นที่ 20 ไร่ เราแบ่งพื้นที่ไปทำนา 5-15
ไร่ พื้นที่บางส่วนปลูกผักหมุนเวียน อย่างกะหล่ำปลี พริก พวกผักสลัดต่างๆ
หรือพืชระยะสั้นที่สามารถทำเงินได้ และอีก 1 ไร่ ปลูกสตรอว์เบอร์รี่
ซึ่งทำเป็นเขาวงกต ซึ่งการทำสตรอว์เบอร์รี่เป็นรายได้หลักของที่ไร่
และทำการเลี้ยงวัว เพื่อนำมูลไปทำปุ๋ยอินทรีย์ใช้ในไร่
เพราะที่บ้านไร่ไออุ่น ทำการเกษตรแบบอินทรีย์
ด้านรายได้ของการทำเกษตรไม่คงที่ บางช่วงของการทำเกษตร ก็มีรายได้ที่เยอะมากกว่าปกติ หรือบางเดือนก็ได้ไม่เยอะมาก รายได้จึงมักไม่ค่อยคงที่ ขึ้นอยู่กับฤดูของผลผลิต ซึ่งตั้งเป้าหมายรายได้ที่ควรจะได้ต่อเดือนของที่ไร่ ไม่ควรต่ำกว่า 30,000 บาท ซึ่งเป็นรายได้ที่พออยู่ได้ เลี้ยงครอบครัวได้อย่างสบาย
ยกตัวอย่างเช่น ช่วงฤดูหนาว เป็นฤดูสตรอว์เบอร์รี่ให้ผลผลิต ช่วงนี้ก็จะมีรายได้ที่มากกว่าปกติหน่อย ดังนั้น การจดบันทึก ทำบัญชีเกี่ยวกับผลผลิต รายได้ จึงเป็นเรื่องสำคัญมาก ในการช่วยบริหารจัดการไร่
โดยคุณสุทธิพงษ์ เพิ่มเติมว่า “ตั้งใจมาทำเกษตรโดยเอาความปลอดภัยเป็นที่ตั้ง ทั้งความปลอดภัยของคนปลูก-คนกิน เพราะที่ไร่มีเด็กเล็ก ซึ่งก็คือลูกๆ ดังนั้น การที่ปลูกพืชผัก ผลไม้อะไร เด็กๆ จะต้องสามารถเก็บผลผลิตขึ้นมาทานได้ ลงไปวิ่งเล่นที่แปลงเกษตรได้ และที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งของการทำการเกษตรคือ ไม่ใช่การขยายฟาร์ม แต่คือขยายเครือข่ายมากกว่า เพื่อจะได้มีเพื่อน มีเครือข่ายที่สามารถให้ความร่วมมือ หรือช่วยเหลือกันได้”
ผลผลิตที่สำคัญของบ้านไร่ไออุ่น คือ สตรอว์เบอร์รี่ โดยปลูกเป็นแบบเขาวงกต ซึ่งการปลูกสตรอว์เบอร์รี่ในรูปแบบของบ้านไร่ไออุ่น คือ 3 ล โดย ล ตัวที่ 1 คือ ลดโลกร้อน โดยใช้หญ้าคาแทนใบตองตึงและพลาสติก ล ตัวที่ 2 คือ ลดสารเคมี โดยใช้ปุ๋ยหมัก สารชีวภัณฑ์และกาวดักแมลงแทนยาฆ่าแมลง และ ล ตัวที่ 3 คือ ลดต้นทุนการผลิต โดยผลิตต้นพันธุ์และผลิตปุ๋ยหมักใช้เอง สำหรับสตรอว์เบอร์รี่ของที่นี่ ปลูกทั้งพันธุ์ในประเทศและต่างประเทศ แต่ส่วนใหญ่เป็นพันธุ์พระราชทาน 80 เพราะเป็นพันธุ์ที่เหมาะกับอากาศที่จังหวัดเพชรบูรณ์มากที่สุด
หากใครที่สนใจและต้องการข้อมูลเพิ่มเติม สามารถเข้าไปเยี่ยมชมได้ที่ บ้านไร่ไออุ่น เลขที่ 71 ม.2 บ้านดอกจำปี (ห้วยลึก) ตำบลเขาค้อ อำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ ทาง Facebook : บ้านไร่ไออุ่น สตรอว์เบอร์รี่ หรือ โทรศัพท์ (081) 535-2348 และ (089) 061-4373
ที่มา https://www.sentangsedtee.com/featured/article_23233
วัชรี ภูรักษา | |
เผยแพร่ |
อดีตวิศวกร กับนักบัญชีดีกรีปริญญาตรี พ่วงดีกรีเศรษฐศาสตร์มหาบัณฑิตอีก 1 ใบ มีความมุ่งมั่นที่จะสร้างครอบครัวที่อบอุ่นในแบบเศรษฐกิจพอเพียง โดยตัดสินใจหันมาเดินตามรอยเกษตรทฤษฎีใหม่ตามศาสตร์พระราชา ทิ้งเวอร์เนียกับเครื่องคิดเลขมาจับจอบจับเสียมแทน
ตั้งต้นปลูกข้าว ผัก ผลไม้ เช่น สตรอว์เบอร์รี่ เพียงเพราะต้องการให้ลูกทานอาหารที่สด สะอาด และปลอดสารพิษ และเลี้ยงโคนมเพื่อนำมูลโคมาทำปุ๋ย
คุณสุทธิพงษ์ พลสยม อดีตวิศวกร และ คุณอุบลรัตน์ พลสยม อดีตนักบัญชีดีกรีปริญญาตรี พ่วงดีกรีเศรษฐศาสตร์มหาบัณฑิต เล่าให้ฟังถึงจุดเริ่มต้นของพวกเขา จุดเริ่มต้น พวกเขาก็ทำงานประจำอยู่ในเมืองกรุงแบบคนปกติทั่วไป จนกระทั่งตัดสินใจว่าจะมาทำแปลงเกษตร
คุณอุบลรัตน์ ให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า 3 ปีแรกที่มาลงมือทำเกษตร ไม่มีรายได้อะไรเลย และไม่มีความรู้อะไรเลยเกี่ยวกับการทำการเกษตร ลองผิดลองถูกอยู่นาน รายได้ก็ไม่มี จนกระทั่งได้ศึกษาพบวิธีการทำเกษตรแบบทฤษฎีใหม่ จึงตั้งต้นมาจากตรงนั้น เริ่มทำการเกษตรแบบผสมผสาน ใช้พื้นที่ที่มีการปลูกพืชหลากหลายชนิด โดยพื้นที่ทั้งหมดในปัจจุบันที่ทำเกษตรประมาณ 20 ไร่
ซึ่งแบ่งพื้นที่ออกไปทำการปลูกข้าว พืชผัก เลี้ยงสัตว์ และทำไร่สตรอว์เบอร์รี่เขาวงกต ซึ่งได้กลายมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของบ้านไร่ไออุ่น
ตั้งแต่วันที่เริ่มต้นจนถึงปัจจุบัน ที่สร้างบ้านไร่ไออุ่นขึ้นมา เป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว คุณอุบลรัตน์ บอก
“เราสองคน สามี-ภรรยา ตั้งใจมาสร้างบ้านไร่ไออุ่น ด้วยเหตุผลเพราะอยากสร้างครอบครัวที่อบอุ่นในแบบเศรษฐกิจพอเพียงและเดินตามรอยเกษตรทฤษฎีใหม่ตามศาสตร์พระราชา ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ทำการเกษตรมา เราสองคนต้องเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่หลายครั้งหลายหนมาก เพราะมันไม่ได้ง่ายดายไปหมดทุกอย่าง เราสองคนไม่มีใครมีความรู้ ในเรื่องการเกษตรมากนัก ต้องอาศัยการทำการบ้าน ศึกษา และค้นหาข้อมูลว่าจะทำการเกษตรแบบไหน จะปลูกอะไร จะจัดสรรพื้นที่ในการปลูก ต้องรู้ว่าอะไรอยู่ตรงไหน และจะดูแลอย่างไร
3 ปีแรก ที่มายึดอาชีพเป็นเกษตรกร แทบไม่มีรายได้อะไรเลย ปลูกอะไรก็ไม่ได้ดี จนกระทั่งเข้าสู่ปีที่ 4-5 จึงเริ่มมีรายได้เข้ามาบ้างจากผลผลิตที่ไร่ แต่ก็เป็นรายได้ที่ยังไม่สามารถเลี้ยงไร่ได้ พูดง่ายๆ คือ ยังเลี้ยงตัวเองไม่ได้ ก็เริ่มมาคิดหาวิธีการทำเกษตรใหม่ จนกระทั่งศึกษาการทำการเกษตรจากศาสตร์ของพระราชา ศึกษาหาความรู้จากองค์ความรู้ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช จึงยึดแนวทางการทำการเกษตรและดำเนินชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง”
ด้านรายได้ของการทำเกษตรไม่คงที่ บางช่วงของการทำเกษตร ก็มีรายได้ที่เยอะมากกว่าปกติ หรือบางเดือนก็ได้ไม่เยอะมาก รายได้จึงมักไม่ค่อยคงที่ ขึ้นอยู่กับฤดูของผลผลิต ซึ่งตั้งเป้าหมายรายได้ที่ควรจะได้ต่อเดือนของที่ไร่ ไม่ควรต่ำกว่า 30,000 บาท ซึ่งเป็นรายได้ที่พออยู่ได้ เลี้ยงครอบครัวได้อย่างสบาย
ยกตัวอย่างเช่น ช่วงฤดูหนาว เป็นฤดูสตรอว์เบอร์รี่ให้ผลผลิต ช่วงนี้ก็จะมีรายได้ที่มากกว่าปกติหน่อย ดังนั้น การจดบันทึก ทำบัญชีเกี่ยวกับผลผลิต รายได้ จึงเป็นเรื่องสำคัญมาก ในการช่วยบริหารจัดการไร่
โดยคุณสุทธิพงษ์ เพิ่มเติมว่า “ตั้งใจมาทำเกษตรโดยเอาความปลอดภัยเป็นที่ตั้ง ทั้งความปลอดภัยของคนปลูก-คนกิน เพราะที่ไร่มีเด็กเล็ก ซึ่งก็คือลูกๆ ดังนั้น การที่ปลูกพืชผัก ผลไม้อะไร เด็กๆ จะต้องสามารถเก็บผลผลิตขึ้นมาทานได้ ลงไปวิ่งเล่นที่แปลงเกษตรได้ และที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งของการทำการเกษตรคือ ไม่ใช่การขยายฟาร์ม แต่คือขยายเครือข่ายมากกว่า เพื่อจะได้มีเพื่อน มีเครือข่ายที่สามารถให้ความร่วมมือ หรือช่วยเหลือกันได้”
ผลผลิตที่สำคัญของบ้านไร่ไออุ่น คือ สตรอว์เบอร์รี่ โดยปลูกเป็นแบบเขาวงกต ซึ่งการปลูกสตรอว์เบอร์รี่ในรูปแบบของบ้านไร่ไออุ่น คือ 3 ล โดย ล ตัวที่ 1 คือ ลดโลกร้อน โดยใช้หญ้าคาแทนใบตองตึงและพลาสติก ล ตัวที่ 2 คือ ลดสารเคมี โดยใช้ปุ๋ยหมัก สารชีวภัณฑ์และกาวดักแมลงแทนยาฆ่าแมลง และ ล ตัวที่ 3 คือ ลดต้นทุนการผลิต โดยผลิตต้นพันธุ์และผลิตปุ๋ยหมักใช้เอง สำหรับสตรอว์เบอร์รี่ของที่นี่ ปลูกทั้งพันธุ์ในประเทศและต่างประเทศ แต่ส่วนใหญ่เป็นพันธุ์พระราชทาน 80 เพราะเป็นพันธุ์ที่เหมาะกับอากาศที่จังหวัดเพชรบูรณ์มากที่สุด
หากใครที่สนใจและต้องการข้อมูลเพิ่มเติม สามารถเข้าไปเยี่ยมชมได้ที่ บ้านไร่ไออุ่น เลขที่ 71 ม.2 บ้านดอกจำปี (ห้วยลึก) ตำบลเขาค้อ อำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ ทาง Facebook : บ้านไร่ไออุ่น สตรอว์เบอร์รี่ หรือ โทรศัพท์ (081) 535-2348 และ (089) 061-4373
ที่มา https://www.sentangsedtee.com/featured/article_23233