อาชีพขายกล้วยปิ้ง อาชีพกล้วยๆ แต่รายได้ไม่กล้วย

อาชีพขายกล้วยปิ้ง เป็นอาชีพที่ต้นทุนต่ำ ขายง่ายกำไรงาม แถมยังเป็นอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค และต่อโลกใบนี้อีกด้วย กล้วยเป็นผลไม้อีกหนึ่งชนิดที่มีประโยชน์มาก หาทานได้ง่าย เด็กหรือผู้ใหญ่ทุกเพศทุกวัยสามารถรับประทานได้ประโยชน์ของกล้วยนั้นบอกได้เลยค่ะว่าไม่กล้วยอย่างที่คิด

เพราะจากงานวิจัยพบว่ากินกล้วยแค่ 2 ผล ก็สามารถเพิ่มพลังงานให้กับร่างกายอย่างเพียงพอกับการออกกำลังกายนานถึง 90 นาที จึงไม่น่าแปลกใจที่กล้วยเป็นผลไม้อันดับหนึ่งของนักกีฬาชั้นนำระดับโลก ไม่ใช่เพียงแค่เพิ่มพลังงานเท่านั้นยังช่วยเอาชนะ และป้องกันโรคต่าง ๆ ที่จะเกิดกับร่างกายได้อีกหลายโรค เช่น โรคโลหิตจาง โรคความดัน โรคท้องผูก โรคซึมเศร้า อาการเมาค้าง อาการเสียดท้อง โรคลำไส้เป็นแผล และยังช่วยการควบคุมอุณหภูมิของร่างกายอีกด้วย จึงควรรับประทานทุกวัน

ทำไมถึงเลือกประกอบอาชีพนี้ ?

เพราะประเทศไทยมีเกษตรกรที่ปลูกกล้วยเยอะ และอีกอย่างกล้วยยังเป็นพืชประจำบ้านที่นิยมปลูกกัน  อีกอย่างธุรกิจนี้ใช้เงินลงทุนไม่สูงค่ะ กล้วยน้ำหว้าหนึ่งหวีก็มีราคาไม่แพงมากนัก และมีวิธีการทำที่ไม่ยุ่งยาก กำไรก็ดี และไม่จำเป็นว่าคุณจะต้องมีความรู้สูงก็สามารถทำได้ค่ะ เพียงแค่คุณมีความตั้งใจ ขยันอดทน และไม่ขี้เกียจ ธุรกิจนี้ก็จะทำให้คุณมีรายได้ที่มั่นคงแน่นอนค่ะ

อาชีพ “ขายกล้วยปิ้ง” สามารถเป็นได้ทั้งอาชีพเสริมในยามว่าง หรือแม้แต่อาชีพทำเงินที่ทำให้หลายคนประสบความสำเร็จกันมาแล้วหลายราย อาชีพนี้จึงเป็นอาชีพที่น่าสนใจมากเลยค่ะ เพราะมีความเสี่ยงต่อการขาดทุนน้อยมากเมื่อเทียบกับธุรกิจอื่นๆ แต่กำไรที่ได้นับว่าคุ้มค่ามากค่ะ

เทคนิคการทำกล้วยปิ้ง ให้อร่อย

วิธีการเลือกกล้วย

กล้วยสีกะดังงา
  คือ กล้วยที่มีสีเขียวแซมบริเวณปลายและตรงโคนมีสีเหลือง หรือที่เรียกว่ากล้วยกำลังห่ามนั่นเองค่ะ  แบบนี้จะย่างง่ายหน่อย เสียบไม้ง่าย และอร่อยกำลังพอดี

กล้วยสีเหลือง    คือ กล้วยที่สุกงอมคือพร้อมเละแล้ว เวลาเสียบไม้จะไม่ทรงตัวทำให้หล่นและหลุดออกจากไม้ ส่วนมากกล้วยที่นำมาทำกล้วยปิ้งจะนิยมเลือกใช้กล้วยสีกะดังงา เพราะรสชาติกำลังอร่อยพอเหมาะ อีกทั้งยังง่ายต่อการย่างไฟอีกด้วย

วิธีการปลอกกล้วย ให้เป็นเรื่องกล้วยๆ  ไม่ยากเลยค่ะ สิ่งที่ต้องเตรียมก็คือ มีดปลายแหลมด้ามเล็ก และถุงมือพลาสติก เพื่อไม่ให้มือหรือเล็บเราโดนยางกล้วย เริ่มจากการตัดหัวท้ายของผลกล้วยทั้งสองข้างทิ้งและกรีดลงมาเป็นแนวยาวเส้นเดียว หลังจากนั้นก็ลอกเปลือกกล้วยออกได้เลยอย่างง่ายดาย

ทำไมเราถึงต้องตัดบริเวณหัวท้ายของผลกล้วยทิ้ง เป็นเพราะบริเวณโคนของผลกล้วยจะมียางติดอยู่เวลาเรานำไปย่างจะทำให้ผลกล้วยเหี่ยวและจะมียางกล้วยซึมออกมา มีรสชาติฝาด ผลกล้วยดำ

และบริเวณปลายของผลกล้วยจะมีลักษณะนูนแหลมขึ้นมาตรงปลายทำให้ผลกล้วยดูไม่สวยงาม ไม่น่ารับประทาน และการตัดหัวท้ายยังทำให้ง่ายเวลาเรานำไปเสียบไม้และย่างไฟอีกด้วยค่ะ

วิธีการคุมไฟให้พอเหมาะกับการย่างกล้วย  ขึ้นอยู่ที่ว่าวันนึงเรากะจะขายกล้วยปิ้งซักประมาณกี่หวี สมมติว่าวันนี้เราจะขายประมาณ 50 หวี ก็จะใช้ถ่านประมาณ 7 ถุง เริ่มจากการนำถ่านทั้งหมดเทลงไปในเตาย่างและจุดไฟให้ลุกโหมเพื่อให้ถ่านกลายเป็นถ่านไฟ

หลังจากนั้นให้ตักขี้เถ้าเททับลงไปในเตาอีกรอบนึง เพื่อลดระดับความแรงของไฟ และลองนำมือมาผึ่งดูบริเวณหน้าเตาว่ารู้สึกร้อนมากรึเปล่าหากยังรู้สึกร้อนมากให้ตักขี้เถ้าเททับอีกรอบนึง

รอให้ความร้อนอยู่ในระดับพอดีไม่ร้อนมาก หากเราลองนำมือมาผึ่งไว้ได้ประมาณ 10 วินาที โดยไม่รู้สึกร้อนมาก ก็สามารถนำกล้วยที่เสียบไม้ไว้แล้วนำมาย่างได้เลยค่ะ

ส่วนผสมน้ำราดกล้วยปิ้งสูตรเด็ด


(ปริมาณของส่วนผสมกะให้ได้น้ำราด 1 หม้อ หากท่านใดทำรับประทานเอง อาจจะไมต้องใส่ปริมาณมากเท่านี้ก็ได้ค่ะ)

1. น้ำตาลปิ๊บ 1 กิโล
2. แป้งข้าวโพด 1 ถุง
3. หัวกะทิ 1 เหยือก
4. เกลือ 1 ถ้วยเล็ก
5. น้ำมะพร้าวอ่อน 1 เหยือก
6. เนื้อมะพร้าวเผา เพราะจะทำให้เกะเนื้อง่าย และนำมาหั่นเป็นเส้นพอเหมาะ ประมาณ 1 ถ้วยใหญ่ (หากใครจะไม่ใส่เนื้อมะพร้าวก็ได้)
 วิธีการทำน้ำราดกล้วยปิ้งสูตรเด็ด
1. เตรียมหม้อขนาดใหญ่ 1 ใบ ตั้งไฟให้พอเหมาะ ไม่ต้องใช้ความร้อนสูง

2. นำหัวกะทิ 1 เหยือก น้ำมะพร้าวอ่อน 1 เหยือก เทลงไปในหม้อที่เตรียมไว้ ตักน้ำตาลปิ๊ปใส่ลงไป 2 ทัพพี และตั้งไฟคนให้เข้ากันประมาณ 5-10 นาที ให้น้ำตาลละลาย

3. คนส่วนผสมให้เข้ากัน ตักเกลือใส่ประมาณ 2 ช้อนชา หลังจากนั้นให้ชิมดูว่ารสชาติหวานเกินไปรึเปล่า หากกวานเกินไปไม่เป็นไร เพราะเราจะต้องใส่แป้งข้าวโพดตามอีกที

4. เทน้ำลงในถ้วยเปล่าประมาณครึ่งถ้วย และนำแป้งข้าวโพดมาละลายน้ำ ไม่ต้องให้ข้นมาก เพราะเวลาที่เรานำไปเทผสมกับส่วนผสมที่เตรียมไว้อาจจะทำให้น้ำราดออกมามีความเหนียวจนเกินไป หลังจากที่ละลายแป้งข้าวโพดแล้ว ให้ค่อยๆ เทลงในหม้อ และคนส่วนผสมให้เข้ากัน หรือหากใครที่ชอบน้ำราดแบบเหนียวนิดนึงก็ให้เพิ่มแป้งข้าวโพดได้ตามความชอบ และรสชาติความหวานและความเค็มสามารถกะตวงตามความชอบได้

5. จากนั้นให้นำเนื้อมะพร้าวเผาที่เราเตรียมไว้เทลงไปให้หมด หากท่านใดจะไม่ใส่เนื้อมะพร้าวก็ได้ แต่การใส่เนื้อมะพร้าวเผาจะเพิ่มความหอมและรสชาติที่กลมกล่อมยิ่งขึ้น

6. คนส่วนผสมต่างๆ ให้เข้ากัน รอจนเดือด และลองชิมดู (รสชาติสามารถเพิ่มเติมส่วนผสมอื่นๆ ได้ตามความชอบ) การใส่วัตถุดิบที่แปลกใหม่ จะทำให้เพิ่มรสชาติและความหลากหลายของน้ำราดได้ เพราะฉะนั้นท่านสามารถคิดค้นและเพิ่มเติมส่วนผสมต่างๆ ได้ตามต้องการ