แบบนี้ต้องแชร์!! เผยสุดยอด 17 ข้อคิด จากคนเป็นหนี้ 8 ล้าน สู่วันนี้ปลดหนี้ และมีเงินเก็บ1ล้านบาท!!

หลายๆ คนคงจะเคยมีหนี้ ไม่มากก็น้อยนะคะ บางคนมีมากจนมองไม่เห็นหนทางที่จะใช้คืน บางคนมีน้อยแต่ก็มีเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ ไม่หมดสักที บางคนมีหนี้แล้วถูกแฟนทิ้ง บางคนโดนทวงหนี้ด้วยวิธีต่างๆ นาๆ ทั้งหมดทั้งมวลนี้ล้วนเกิดได้กับคนทั่วๆ ไปอย่างเรา และเรื่องราวของหนุ่มในวันนี้ก็เป็นคนหนึ่ง ที่ประสบปัญหาเรื่องการมีหนี้ หลายครั้งที่มืดแปดด้าน หาทางออกไม่เจอ หลายครั้งอยากจะหาทางออก แต่ไม่มีคนให้ปรึกษา เพราะอาย ไม่อยากเอาเรื่องหนี้ตัวเองไปบอกใครๆ
วันนี้จะพาเพื่อนๆ มาฟังการแชร์ ประสบการณ์ตรง ของสมาชิกพันทิปนามว่า “สมาชิกหมายเลข 3458314” ว่าแล้วไปชมกันเลยค่ะ

เป็นเรื่องราวที่เจอมากับตัวเองและครอบครัวนะครับ หลายๆคนอาจจะมีปัญหาที่แย่กว่าผม หรืออาจจะเจอปัญหาที่น้อยกว่าผม แต่ที่มาเล่าวันนี้เพราะอยากแชร์แนวคิด และวิธีแก้ปัญหาต่างๆ เผื่อเรื่องนี้จะเป็นกำลังใจให้คนที่กำลังเจอปัญหาและทุกข์ใจนะครับ ถึงจะเจอปัญหารุมเร้าเข้ามาในชีวิต ผมเชื่อว่าถ้าทุกคนมีแนวคิดและกำลังใจที่ดีจะสามารถผ่านพ้นวันแย่ๆไปได้แน่นอนครับ วันนี้เลยมาขอแชร์แนวคิดประสบการณ์ตรงที่ผมเจอมา จนทำให้ผมสามารถใช้หนี้ได้หมด และผ่านพ้นปัญหามาได้จนมาถึงวันนี้ วันที่พอจะมีเงินเก็บ ถึงไม่มาก แต่ก็ภูมิใจครับ เหมือนตายแล้วเกิดใหม่เลยครับ
ต้องบอกก่อนเลยว่า เริ่มแรก ผมเกิดมาในครอบครัวที่มีฐานะปานกลาง แต่ด้วยปัญหาเศรษฐกิจในช่วงปี 39-40 เลยทำให้ ครอบครัวผม ล้มละลาย ทั้งพ่อและแม่ โดนฟ้องล้มละลายทั้งคู่ ทางบ้านขาดสภาพคล่องอย่างรุนแรง จนผมมีปัญหาในการจ่ายค่าเทอม และตอนนั้นอยู่ในช่วงปีสุดท้ายของการเรียนพอดี
ความโชคดีของผมคือผมสอบได้ทุนของคณะและมหาวิทยาลัยไปฝึกงานต่างประเทศ แต่ ผมไม่มีเงินไปครับ เพราะคณะออกให้เพียงส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งต้องซัพพอตเอง สุดท้ายก็มีอาจารย์ใจดี ให้กู้ยืมเงิน จำนวน 8 หมื่นบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจากทุนที่ได้จากมหาวิทยาลัยมา ในการจ่ายค่าเทอมและจ่ายค่าไปฝึกงานต่างประเทศ ซึ่งนี่ เป็นจุดเริ่มต้นของภาระหนี้ของผมและเป็นจุดเริ่มต้นการเดินทางในครั้งนี้

ข้อคิดที่ 1.ตั้งสติให้ดีเวลาเจอเรื่องร้ายๆ
หลังจากกลับมาจากการฝึกงานที่ต่างประเทศ ผมก็ได้รับข่าวดีจาก อาจารย์ท่านหนึ่ง ท่านได้ recommend ให้ผมได้เข้าทำงาน เป็นเซลล์ ในบริษัทๆหนึ่ง ซึ่งผมก็ได้ไปสอบสัมภาษณ์ และได้รับเข้าทำงานตั้งแต่ตังเองยังเรียนไม่จบ ซึ่งตอนนั้นเป็นปีสุดท้ายของการเรียน และเหลืออีกเพียง 4 เดือนผมก็จะจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย ทางบริษัท เลยรับผมเข้าทำงานก่อน และผมก็ใช้เวลาที่เหลืออีก4 เดือนทำโปรแจ็คจบ พร้อมกับทำงานไปด้วย ซึ่งอาจารย์ก็ยินดี และให้โอกาสผมได้ทำงานและเรียนไปพร้อมๆกัน
ฟังมาถึงตรงนี้หลายๆคนอาจจะคิดว่า ชีวิตผมมันก็ดีหนิ ไม่เห็นมีอะไรน่ากังวล แต่จริงๆไม่ใช่เลยครับ นี่เป็นแค่การเริ่มต้นของภาระหนี้ทั้งหลาย ในช่วงเวลาเดียวกันนี้เอง เมื่อทางบ้านถูกฟ้องล้มละลาย พ่อ กับแม่ผม ก็แยกทางกัน พ่อผมรับไม่ได้ หายไปเลยเต็มๆ 3 เดือน โดยที่ผมและน้องๆอีก2 คน ไม่รู้ว่าพ่อหายไปไหน เป็นตายร้ายดียังไง ทิ้งไว้ให้แม่และผมกับน้องอยู่ด้วยกัน 4 คน ตอนนั้นทั้งครอบครัวแทบจะไม่มีเงินเหลือเลย มันทำให้ผมต้องรีบออกไปทำงาน และหาเงินมาจุนเจือครอบครัว

เช้าวันหนึ่ง ที่หน้าบ้าน เวลาประมาณ ตี 4 ก็มีเสียงดัง “ ปั้ง!!! ปั้ง!!! ” ขึ้น 2 ครั้ง ผมและน้องๆตกใจมาก รีบวิ่งลงมาจากบ้านมาดู ปรากฏว่ารถของแม่ผมกระจกแตก และมีรูอยู่ข้างประตูรถอีก 1 รู ผมกับน้องโทรแจ้งตำรวจและหลบอยู่ในบ้าน ตอนนั้นรู้สึกกลัวมากครับ แต่ก็ได้แต่ตั้งสติ และบอกให้ทุกคนไม่ต้องกลัว เพราะถ้าผมกลัว แม่กับน้องก็คงยิ่งกลัวไปกว่าเดิม คนแถวนั้นบอกว่า มีมือปืน มายิ่งรถของแม่ผม
เนื่องจาก เงินที่เคยยืมไปทำธุรกิจ หมดไปกับกิจการที่ถูกฟ้องล้มละลาย เจ้าหนี้เลยมาขู่ เพื่อที่จะเอาเงินคืน ตอนนั้น รู้สึกแย่มากๆ และหวาดกลัว เพราะไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อนในชีวิต ทำให้รู้เลยว่า จริงๆแล้ว ชีวิตเราจบได้ง่ายๆ มันไม่เป็นเหมือนที่วาดฝันไว้ในตอนเด็กๆ ผมได้แต่ปลอบใจน้องๆไม่ให้กลัว ทั้งๆที่ตัวเองก็กลัวจนฉี่จะราดอยู่แล้ว หลังจากวันนั้นทุกคนก็อยู่ด้วยความหวาดระแวง แทบไม่กล้าออกไปไหน
แต่ความคิดผมก็เปลี่ยนครับ มานั่งคิดทบทวน ว่าถ้าเรามัวแต่กลัว ไม่ออกไปทำงาน ชีวิตพวกเราคงจบกันแค่นี้ เป็นครั้งแรกที่ผมพูดกับตัวเองว่า ต่อไปนี้เวลาจะทำอะไร หรือมีเรื่องอะไรที่เหนือความคาดหมาย เราควรตั้งสติให้ได้เร็วที่สุด อย่าตื่นตระหนกไปกับมัน ไม่งั้นเราจะหาทางออกไม่ได้ และจมกับปัญหาในที่สุด

ข้อคิดที่ 2.ถ้าหมดหนทางจริงๆการกู้นอกระบบหรือขายของเข้าตลาดมืดควรเป็นสิ่งสุดท้ายที่จะทำ
ณ เวลานั้น หนี้ก้อนที่สองผมก็ตามมา แม่ผมต้องวิ่งไปยืมเงินจากญาติๆ และคนรู้จัก เพื่อที่จะเอามาจ่ายหนี้ที่จำเป็นต้องจ่ายก่อน เงินที่ไปยืมญาติมารวมๆประมาณ 2 แสน และแม่ผมก็นำรถที่มี ไปขาย เพื่อเอาเงินมาเป็นค่าเทอมให้ผมและน้องๆ ส่วนรถที่ขาย ก็ยังติดไฟแนนซ์อยู่ 3 แสน แม่ผมเอาไปขายในตลาดมืด ซึ่งได้เงินมา5 หมื่น แลกกับการขายรถไปทั้งคัน แบบที่ยังติดไฟแนนซ์ ทุกวันนี้ก็ยังไม่เคยเจอคนเอามาขับเลยครับ น่าจะเอาไปขายประเทศเพื่อนบ้านเรียบร้อยแล้ว หนี้รถในไฟแนนซ์ตอนนั้นคือ 3 แสนบาท ซึ่งตอนนั้น แม่ผมคงไม่มีทางเลือกจริงๆ
เพราะสถานการณ์บังคับ ทั้งเจ้าหนี้มาทวง และค่าใช้จ่ายในบ้านอีกมากมาย ซึ่งต้องบอกว่าถ้าผมย้อนกลับไปได้คงไม่ให้แม่ทำแบบนี้ เพราะรถก็ไม่ได้ใช้แถม ต้องมานั่งใช้หนี้ไฟแนนซ์อีก ไม่ต่างกับการต้องจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้นอกระบบเลย เพราะได้เงินมา 5หมื่น ต้องจ่ายดอกเบี้ยถึง3 แสน ถ้าคุณหาทางออกไม่ได้จริงๆเงินกู้นอกระบบ และขายของเข้าตลาดมืด ควรจะเป็นทางเลือกสุดท้ายที่คุณควรจะทำ เพราะคุณจะเสียเยอะกว่าที่คุณได้มา หลายเท่าตัวครับ

ข้อคิดที่ 3.อะไรที่เสียไปหรือพลาดไป อย่าไปเสียดาย หาใหม่ได้ ไม่งั้นคุณจะหาทางออกไม่ได้เพราะความคิดเสียดายของคุณนั้นแหละ
มาถึงตอนนี้ ผมมีหนี้ที่ต้องใช้คืน 8หมื่น+2แสน+3แสน รวมๆก็ เกือบๆ หกแสนบาท และหลังจากที่ผมเรียนจบและได้งานทำ บ้านที่เราอยู่ก็ถูกนำเข้ากรมบังคับคดี(บ้านในที่นี่คืออาคารพาณิชย์ที่เราอยู่นะครับผมขอเรียกว่าบ้านนะครับ) และถูกนำไปประมูลขายทอดตลาด ตอนนั้น ผมไม่มีความรู้เรื่องการทำธุรกิจอะไรเลย รู้แต่ว่า ยังไงต้องเอาบ้านหลังนี้ขึ้นมาให้ได้ เพราะเป็นบ้านที่อยู่มาตั้งแต่เด็กๆ
และครอบครัวผมก็รักบ้านหลังนี้มากๆ ตอนนั้น ทำงานมาได้ 4 เดือน ไม่มีเงินเก็บสักบาท เพราะผมต้องส่งน้อง 2 คนเรียน(ตอนนั้นน้องอยู่ ม.6และ ปี1) แต่กลับต้องมารับภาระหนี้เพิ่ม จากการที่ต้องประมูลบ้านขึ้นมาจากกองบังคับคดี ยอดทั้งหมดในการซื้อบ้าน คือ 6.8 ล้าน เพราะเป็นอาคารพาณิชย์ 2 ห้อง กลางใจเมือง ผมไม่มีทางเลือก ต้องไปกู้เงินมาซื้อ ทั้งๆที่เครดิตก็ยังไม่มี

และตอนนั้น ก็เป็นหนี้รถในชื่อของผม อีก 1 ล้าน(รวมดอกเบี้ย) ราคารถจริงๆประมาน 8.4 แสน ซึ่งผมจำเป็นต้องใช้รถในตอนนั้น เพราะอาชีพที่ทำคือ เซลล์ ไม่มีรถก็ทำงานไม่ได้ และตอนนั้นจะใช้รถเล็กๆก็ไม่ได้เพราะต้องเดินทางหลายจังหวัดมากๆ เลยจำเป็นต้องออกรถที่สมรรถนะโอเคหน่อยไม่เล็กจนเกินไป ตอนนั้นอาศัยว่า ดาวน้อยมากครับ แค่30 บาท เพราะมีแคมเปญพิเศษพอดี แต่ต้องผ่อนหนัก เดือนละประมาณ 17,000 บาท ซึ่งสุดท้าย ธนาคารก็ยอมให้ผมกู้ซื้อบ้าน ในราคา 6.8 ล้าน แบบผมก็งงๆ ว่ามันกู้ผ่านไปได้ยังไง เพราะใช้แค่สลิปคาร์บอนกับบัญชีหมุนเวียนไปยื่น
ตอนนั้นทั้ง ดีใจที่บ้านยังอยู่กับเรา และอีกใจก็ทุกข์มากๆ เพราะต้องผ่อน เดือนละ 52,000 บาท พอรวมกับค่ารถแล้ว ก็เดือนละ 69,000 บาท ไหนจะต้องส่งเงินให้น้อง คนละ4,000 บาท ทุกเดือน รวม8,000 บาท และไหนจะต้องจ่ายหนี้ อาจารย์ที่ผมไปกู้ยืมมาอีก และหนี้ของครอบครัว ที่มีเจ้าหนี้และญาติๆมาทวง แบบรายวัน
ตอนนั้นต้องบอกว่า แทบจะเป็นโรคประสาทครับ มาคิดย้อนกลับไป ผมไม่ควรเสียดายบ้านของผมเลย ควรปล่อยมันไปและ เริ่มต้นชีวิตใหม่ ซึ่งอาจจะไม่ต้องทุกข์ทนหาเงินมาผ่อนแบบนี้ แต่นี่คือประสบการณ์ชั้นเยี่ยมครับ เพราะสอนให้ผมรู้ว่า อะไรที่พลาดไป ถ้าเก็บกลับมาแล้วเราเป็นทุกข์เราก็ควรจะปล่อยมันไปไม่ควรเอามาเป็นอุปสรรคในชีวิตอีก

ข้อคิดที่4. บางทีเราจะเจอศาสตร์ด้านมืดโดยที่เราไม่รู้ตัว หมั่นสวดมนต์และทำดีเข้าไว้แล้วจะผ่านมันไปเอง
หลังจากทำงานมาได้ 8 เดือน ผมเริ่มมีความรู้สึกว่า มีเรื่องไม่ดีเข้ามาอยู่เรื่อยๆ มีคนมายืนด่าอยู่หน้าบ้านเพื่อทวงหนี้บ่อยขึ้น และมีปัญหาภายในครอบครัวระหว่างพ่อกับแม่ผมเป็นอย่างมาก ทั้งๆที่ก็เลิกกันไปแล้ว วันหนึ่งผมกับน้องช่วยกันทำความสะอาดบ้าน โดยยกลังไม้ที่วางอยู่ตรงบริเวณหน้าบ้านออก สิ่งที่ผมเห็น แทบจะไม่เชื่อตาตัวเองครับ มีถุงพลาสติก ห่ออุจจาระในนั้น
และมีผ้ายันต์และมีองค์พระเล็กๆ 4-5 องค์ มัดรวมอยู่กับก้อนอุจจาระนั้น ตัวองค์พระเขียนว่าหลวงพ่อพระไสย ตัวผมเองไม่มีความรู้เรื่องไสยศาสตร์อะไรทั้งสิ้น ได้แต่เอาถุงพลาสติกนี้ ไปทิ้งอยู่ใต้ต้นโพธิ์ที่วัด ในบริเวณที่เค้าเอาไว้ ศาลและรูปปั้นพระที่ชำรุด กองรวมๆกันไว้ ผมหาเจอ ตอนประมาณ 5 ทุ่ม เอาไปไว้วัดตอนเที่ยงคืนครับ ขนลุกตลอดทาง ที่มากกว่านั้นคือ หมาพร้อมใจหอนพร้อมกัน ตอนเอาถุงไปวางใต้ต้นโพธิ์ ผมกับน้อง รีบขับรถกลับบ้านทั้งๆที่ยังขนลุกสู้ทั้งตัว

ผมไม่รู้ว่ามันเป็นสาเหตุที่ทำให้ คนในครอบครัวของเราทะเลากันบ่อยไหม หลังจากนั้น ผมก็สวดมนต์ไหว้พระ บ่อยขึ้น จากที่ไม่เคยสวดเลย ก็เริ่มที่จะหันมาสวดบ้าง บางทีก็สวดต่อกันเป็นอาทิตย์ แล้วแต่ว่าเหนื่อยจากการทำงานมาแค่ไหน ส่วนตัวคิดว่ามันช่วยให้จิตใจเราสงบ และสิ่งที่ไม่ดีก็จะผ่านพ้นไปเอง ยังไงใครมีปัญหาทุกร้อนใจเหมือนผม แนะนำเลยครับ สวดมนต์ แพร่เมตตา ช่วยได้เยอะมากๆในเรื่องจิตใจครับ
ข้อคิดที่ 5. เมื่อเป็นหนี้ อย่าหนีครับ ต้องใช้คืนให้หมด แต่จะช้าเร็ว ต้องคุยกับเจ้าหนี้ทุกรายให้รู้เรื่อง และหามาใช้คืนให้ได้ เพราะไม่งั้นมันจะเป็นตราปาปไปตลอดชีวิตของคุณ
สรุป ณ ตอนนั้น ผมมีหนี้
-80,000 ที่ยืมอาจารย์มา (ผ่อนเดือนละ 5,000)
-3 แสน หนี้รถที่แม่ผมติดไฟแนนท์ (ขอเลื่อนชำระหนี้)

-2 แสน ที่ไปยืมญาติๆมา (ขอผ่อนผันไปก่อน)
-1 ล้านค่ารถผมเองที่ใช้ทำงาน (ผ่อน 17,000)
-6.8 ล้าน กู้ซื้ออาคารพาณิชย์ที่ถูกยึด (ผ่อน52,000)
-8,000 ค่ากินอยู่รายเดือนของน้องๆ2 คน คนละ4 พันบาท
ทั้งเดือนต้องจ่ายประมาณ82,000บาทต่อเดือน
นี่ยังไม่รวมค่ากินอยู่และค่าเช่าห้องพักของผม ซึ่งก็รวมๆประมาน 7-8 พันบาทต่อเดือน แต่ยังโชคดีที่ บริษัทของผมให้ค่าน้ำมัน ค่าโรงแรม และอาหาร แบบเหมารวม ผม เลยเบาภาระตรงนี้ไปพอสมควร และสิ่งที่ผมเลือกที่จะทำเป็นอย่างแรกคือ ขอผ่อนผันภาระหนี้กับเจ้าหนี้ที่คิดว่าจะทำได้ก่อนครับ เพราะถ้าให้จ่ายพร้อมๆกันคงตายแน่ๆ เลือกก่อนเลยครับ อันไหนสำคัญอันไหนไม่สำคัญ ผมเลือกที่จะคุยกับไฟแนนซ์รถของแม่ผมก่อนเลย

เพราะรถก็ไม่อยู่แล้ว เป็นหนี้ที่ไร้ประโยชน์มากๆ หนี้ตัวอื่นๆสำคัญมากกว่า ผมขอระยะเวลา 1-2 ปีในการเริ่มผ่อนชำระหนี้ จริงๆทางไฟแนนซ์ก็ไม่ยอมหรอกครับ แต่ผมก็บอกไป ว่าไม่มีจริงๆ แต่จะใช้คืนแน่ๆ ให้พี่ติดต่อมาเรื่อยๆ ถ้าผมมี ผมจะเริ่มจ่ายให้จนครบ ไม่ต้องห่วง ซึ่งก็ได้ผลครับ ติดต่อมาทุกเดือน 555 แต่ผมก็ขอผลัดไปเรื่อยๆ ทำอะไรไม่ได้ครับ ผมยังไม่มีเงิน และเจ้าหนี้ที่เป็นญาติๆ บางรายก็ยอมให้เลื่อนการชำระหนี้ไป บางรายก็ไม่ยอมครับ
ก็จ่ายให้ตามกำลังที่ผมพอจะมี ส่วนบ้านและรถของผม คงผ่อนผันไม่ได้เพราะพึ่งกู้มา เดี๋ยวเครดิตจะเสียเอา พาลให้ทำธุรกิจอย่างอื่นไม่ได้อีก ถ้าเพื่อนๆเจอปัญหาหนี้รุมเร้าแบบผม คุยกับเจ้าหนี้เลยครับ ถ้าเราแสดงความจริงใจที่จะใช้คืนแน่ๆ ยังไงบางคนก็ต้องเห็นใจบ้างไม่มากก็น้อย ดีกว่าทิ้งล้าง ไม่ติดต่อ หรือหนีหายไปดื้อๆนะครับ เพราะเป็นปาปทั้งต่อตัวเรา และ ดีไม่ดีลูกเราต้องมารับผลกรรมแทนเราด้วยนะครับ
ข้อคิดที่ 6. เมื่อมีหนี้ แค่ประหยัด คงไม่พอครับ ต้องตัดใจ จำยอม อดออม และ อดทนด้วย

ผมต้องกินประหยัดมากๆ ไม่ซื้อของแบรนเนม ซื้อเสื้อผ้าปีละ1 ครั้ง เอาที่พอใส่ ก็พอ บ่อยครั้งที่เงินเดือนออกวันที่ 30 แล้ววันที่ 1 ของเดือนถัดมา ต้องไปยืมเงินเพื่อนกินข้าว เพราะจ่ายค่าใช้จ่ายทุกอย่างไปหมดแล้ว ไม่มีเงินพอที่จะเดินทาง และไปทานข้าวกับลูกค้า เรื่องนี้สอนให้ผมต้องประหยัดในการใช้จ่ายทุกๆอย่าง อะไรไม่จำเป็นต้องตัดออกให้หมด แม้แต่สบู่ ยังต้องหาที่ซื้อ 1 แถม 1 มาใช้ ยี่ห้ออะไรก็ชั่งมัน บางทีทำงานต่อกันทั้งอาทิตย์ ขับรถวันละ 2-3 ร้อยโล
ก็ต้องอดทนครับ เพื่อที่จะต้องใช้หนี้ให้หมด บางอย่างก็ต้องจำยอมครับ เช่นคำพูดที่ดูถูกเหยียดหยามเรา บางคนก็ว่าผมพ่อแม่ล้มละลาย บางคนก็ว่าไม่มีเงินสมน้ำหน้าบ้าง จากที่ญาติเคยมาเต็มบ้านเวลามีงานปีใหม่ ก็กลายเป็นไม่มีใครมาเหลียวแล ทั้งๆที่ เคยๆช่วยเหลือกันมาแต่ก่อน บางส่วนก็ไม่มาหาอีก เพราะโกรธที่ไปยืมเงินแล้วยังไม่คืน ผมก็ต้องบอกว่า
“อย่าไปใส่ใจกับคำดูถูกของคนครับ เค้ามีสิทธิที่จะว่าเราได้ เพราะเรายืมเงินเค้ามาจริงๆ แต่ให้เอาคำดูถูกเหล่านั้นมาเปลี่ยนเป็นแรงบันดาลใจในการทำงานให้มีพลังในการทำงานมากขึ้น แล้ววันหนึ่งเค้าจะเห็นว่าสิ่งที่เค้าพูดมันผิดครับ”

ข้อคิดที่ 7.พยายามลดรายจ่ายของคุณ ให้ได้มากที่สุด อะไรไม่จำเป็นก็ไม่ต้องใช้ ลำบากวันนี้สบายในวันหน้าครับ
ถ้าดูตรงนี้ หลายๆคนอาจจะสงสัย ว่าทำไมผมถึงรายได้เยอะ ต้องบอกว่าในความโชคร้าย ผมก็ยังพอมีโชคดีเข้ามาบ้าง เงินเดือนผม จิงๆ 18,000 บาท ค่ารถค่าน้ำมันค่าที่พัก บริษัทเหมารวม ให้ประมาณ 54,000 เป็นเบี้ยเลี้ยงจ่ายเป็นเงินสด ทุกวันที่15 ของเดือนถัดไป และถ้าปิดยอดได้ ผมจะได้ อีก 3 หมื่นบาท เป็นค่าคอมมิสชั่น ซึ่งต้องบอกว่า ตอนนั้น ผมวิ่งทั้งวันทั้งคืน บางที่ ทำงาน 8โมงเช้า จนดึก
แล้วต้องไปกับลูกค้าต่อ ถึงเช้า อีกวัน ก็มี เหนื่อยสุดๆ แต่ก็ต้องทำ เพราะถ้าผมปิดยอดไม่ได้ น้องๆผมคงแย่แน่ๆ และผมพยายามใช้เงินเบี้ยเลี้ยงให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ครับ ผมกินข้าววันละ 2 มื้อ(อันนี้ไม่ดีนะครับอย่าทำตาม) เพราะต้องประหยัดจริงๆ และค่าโรงแรมผมก็พยายามจะไม่เสียครับ ไปนอนบ้านเพื่อนสนิท (ต้องสนิทนะครับไม่งั้นโดนด่าแน่ๆ) ตามจังหวัดต่างๆ

หรือเวลาเข้ากรุงเทพ และ เช่าหอพัก ไว้ 1 ที่ ในจังหวัดที่เป็น ศูนย์กลางครับ ถ้าไม่ไกลเกิน 200 โล แล้วผมทำงานเสร็จจริงๆ ผมก็จะขับกลับมานอนที่หอพักครับ ไม่ต้องกลัวว่าจะเปลืองน้ำมันนะครับ ผมเอารถไปติดแก๊สครับ ประหยัดมากๆ ช่วยผมเซฟเงินค่าน้ำมันไปได้มากโขเลยทีเดียว
อันไหนลดได้ก็ให้ลดครับ อย่าติดหรูหรืออย่าตามเพื่อน ต้องบอกว่าถ้าเพื่อนชวนผมไปกินข้าวผมไปนะครับ แต่ถ้าชวนไปกินเหล้า ผมจะเซโน ตลอดครับ เพราะเมื่อไหร่ที่ไปกิน เสียเงินไม่ต่ำกว่า 3 ร้อยแน่นอนครับ ต้องไม่ยุ่งเกี่ยวกับ อบายมุข ยกเว้นเรื่องเดียว คือเรื่องผู้หญิงนะครับ 555 อาจจะมีเจ้าชู้บ้าง แต่ก็นะ ตามภาษาผู้ชายครับ แต่ถ้าได้เป็นแฟนก็คบคนเดียวนะครับ อิอิ เพราะฉะนั้น ถ้าอยากปลดหนี้ ต้องอดกลั้นอบายมุขต่างๆให้ได้มากที่สุดครับ แล้วเดี๋ยว เงินก็จะเหลือพอให้จ่ายหนี้เอง
ข้อคิดที่ 8. ถ้าคุณผ่อนไม่ไหว คุณก็ต้องเลือกที่จะตัดปัญหาที่ใหญ่ที่สุดออกก่อน อย่าลังเลครับ ตัดอะไรได้ ตัดทิ้งไปเลย

ผมทำงานแบบนี้ต่อกันมาเป็นระยะเวลา1 ปี ครึ่ง จนผมรู้ตัวอีกที ก็คือผ่อนบ้านไป เกือบๆจะ 6-7 แสน แต่เป็นเงินต้นจริงๆ แค่ไม่กี่แสน เพราะดอกเบี้ย เยอะมากๆ ประมาณ 44,000 ต้นแค่ 6-8 พัน จนผมรู้ตัวว่า คงรักษาบ้านหลังนี้ที่เคยอยู่ตั้งแต่เด็กไว้ไม่ได้ ผมจึงตัดสินใจ ขายอาคารพาณิชย์ที่ผมเรียกว่าบ้านทิ้งไป โดยยอมขาดทุนเงินที่ผ่อนมาทั้งหมดไป และขายในราคา ประมาณ 6ล้านต้นๆ เพื่อ ที่จะตัดหนี้ ก่อนใหญ่นี้ออกไป ไม่งั้น ชีวิตผมคงมีแต่ดิ่งลงเหว ถ้ายังมีหนี้ก้อนนี้อยู่
ซึ่งผมก็ตัดสินใจถูก เพราะโดยส่วนตัวแล้วไม่ได้ยึดติดกับบ้านที่จะอยู่มาก ขอให้เป็นบ้านหลังเล็กๆ อยู่กันแบบครอบครัวก็สบายใจแล้ว หลังจากขายบ้านทิ้งไป ภาระหนี้ที่มีก็ลดน้อยลง ตัวผมเอง อยู่ที่หอพัก ส่วนน้องผมก็อยู่หอพักเหมือนกัน เพราะเข้ามหาลัยทั้งคู่ พ่อกับแม่ผมก็แยกกันไปอยู่กับญาติๆครับ ตอนนั้นไม่มีบ้านให้อยู่ รู้เลยครับว่าความรู้สึกของคนไม่มีบ้านอยู่เป็นยังไง แต่ผมก็ไม่มีทางเลือกครับ ถ้ายังดันทุลังอยู่ คงล้มรอบสองแน่ๆ หลังจากขายบ้านได้ ผมจึงเริ่ม ทยอย จ่ายหนี้ของญาติๆ และ หนี้รถ ที่ผ่อนผันกับธนาคารเอาไว้
-หนี้ญาติๆ จ่ายเดือนละ 5,000-10,000 แล้วแต่เดือน
-หนี้รถของแม่ จ่ายเดือนละ 5,000 บาท

อย่างที่บอกครับ ผ่อนผันอันไหนได้ให้ทำ ถ้าทำแล้วไม่ไหว อันไหนตัดทิ้งหรือขายออกไปได้ ให้รีบทำครับ อย่าเก็บไว้ให้เป็นภาระของเราในระยะยาว เพื่อเพื่อนๆเจอปัญหาคล้ายๆกัน อย่าไปเสียดายครับ เสียไปก็หามาใหม่ได้ เป็นกำลังใจให้ทุกคนครับ
ข้อคิดที่ 9. จะลงทุนอะไร ถ้าไม่ได้เป็นสิ่งที่เราถนัด จงศึกษาให้มาก และเผื่อใจที่จะล้มไว้ด้วยนะครับ เพราะฉะนั้น อยากจะลงทุนอะไร ใจเย็นๆ ศึกษาให้เยอะ แล้วจะเจ็บตัวน้อยครับ
มาถึงตรงนี้ดูเหมือนทุกๆอย่างกำลังจะดีขึ้น เพราะรายจ่าย ของผมลดลงมาก น่าจะพอมีเงินเหลือบ้าง แต่โชคชะตาก็เล่นตลกครับ ผมพอจะเก็บเงินได้ประมาณ 4-5 หมื่นบาท และแม่ผม ก็ได้ไปเจอธุรกิจตัวหนึ่งที่ประเทศข้างเคียง เลยขอเงินผมไปลงทุน 1 แสนบาท เพื่อหวังจะได้เอาเงินมาจุนเจือครอบครัว ผมต้องวิ่งไปยืมเพื่อนสนิท มาอีก5หมื่น เพื่อให้ครบ1 แสนตามจำนวนที่แม่ผมต้องการ สุดท้าย โดนหุ้นส่วนโกง

เงินที่ให้ไปหมดเกลี้ยง เงินเก็บ ผมหาย และยังต้องเป็นหนี้เพื่อนอีก 5หมื่นบาท แถมด้วยการที่เศรษฐกิจเริ่มจะไม่ค่อยดี ขายของได้ไม่ตามยอดอย่างที่เป็นมา หัวหน้าก็เริ่มบีบบังคับหลายๆอย่าง ทำให้เครียดมากๆ ทั้งๆที่ก่อนที่จะลงทุนผมสอบถามรายละเอียดทุกอย่าง แบบละเอียดมากๆแล้ว แต่ก็ยังเจอโกงจนได้ หลังจากเหตุการณ์ครั้งนี้ ทุกๆครั้งที่ผมจะลงทุนอะไร ผมจะคิดนานเป็นพิเศษ และศึกษาอย่างละเอียดไม่กล้าลงทุนมั่วๆอีกแล้วครับ เข็ดแล้วจริงๆ
ผมเลยอยากบอกเพื่อนๆว่า ถ้าทำอะไรแล้วถนัดให้ทำในสิ่งที่ตัวเองถนัดครับ ถ้าอยากได้รายได้เพิ่ม เอาสิ่งที่ตัวเองถนัด ไปต่อยอดเพื่อให้ได้กำไรหรือ สินค้าที่มีประสิทธิภาพและการบริการที่ดีขึ้น กำไรก็จะมากขึ้นเอง อย่าทำในสิ่งที่ตัวเองไม่ถนัด แต่ถ้าจะทำ ต้องศึกษาให้รอบคอบ และเผื่อใจที่จะเจ็บตัวไว้ด้วยนะครับ
ข้อคิดที่ 10.เมื่อไหร่ที่คิดจะฆ่าตัวตาย ให้หยุดทำทุกสิ่ง หาเพื่อน หรือใครที่เราพอจะระบายได้ อย่าทำอะไรโง่ๆ เพราะถ้าตายไป ปัญหาทั้งหมดจะไปตกกับคนที่คุณรัก

ตอนนั้นคิดอะไรไม่ออกครับ ได้แต่นั่งมองทองฟ้า คิดอยากจะฆ่าตัวตาย เพราะชีวิต กำลังจะดีขึ้นก็ถูกโกงไปสะงั้น ผมโทษใครไม่ได้ นอกจากตัวเอง และเป็นบทเรียนให้เรียนรู้ว่า ต้องระมัดระวังรอบครอบในการใช้เงินให้มากกว่านี้
ผมทยอย ใช้เงินคืนเพื่อน และหนี้ที่กล่าวมาข้างต้นก็ยังไม่หมด ทยอยคืนไปทีละนิดไปเรื่อยๆ แก้ปัญหาเป็นวันๆไป แต่ชีวิตก็เจอปัญหาอีกจนได้เคราะห์ซ้ำกำซัดจริงๆครับ แฟนที่คบกันมา 3ปี บอกเลิกผม ด้วยเหตุผลที่ว่า บ้านผมจน และครอบครัวล้มละลาย พ่อกับแม่เค้าอยากให้ไปเจอคนที่ดีกว่า
ซึ่งตรงนี้ผมทำอะไรไม่ได้จริงๆ แต่ก็เป็นแรงผลักดันชั้นดีให้ผม ในการดำรงชีวิต และดิ้นรน เพื่อลบคำสบประมาทจากใครหลายๆคน วิธีแก้ปัญหาทุกใจของผมก็คือ ไปหาเพื่อนครับ นั่งระบายกับเพื่อน แต่ไม่กินเหล้านะครับ เพราะกินไปก็เปลืองเงิน แถมเพิ่มปัญหาให้เราด้วย นอกจากนั้นก็พยายามออกกำลังกายหนักๆครับ จะได้ไม่คิดฟุ้งซ่าน และอีกอย่าง จะได้หล่อๆหุ่นดีๆ หาแฟนใหม่ที่จริงใจสักคน 555

ใครเจอแฟนทิ้งเพราะบ้านจนแบบผมบ้างครับ เหมือนในหนังเลยครับ ชาไปทั้งตัว อึ้งไป 8 ชม นอนน้ำตาไหล แบบฟูมฟาย เสียใจครับ ผมไม่ได้ตั้งใจจะจน ใครจะไปรู้ว่าบ้านจะล้มละลาย ผมไม่ได้ล้มเองสักหน่อย พ่อแม่ผมล้ม แค่ผมต้องใช้หนี้แทนแค่นั้นเอง อันนี้เป็นความรู้สึกในใจล้วนๆ 555 ใครเจอปัญหาแบบผม แชร์ประสบการณ์ได้นะครับ แล้วเราจะผ่านมันไปด้วยกัน
ข้อคิดที่ 11. อย่ากลัวกับการกู้เงิน ถ้ากู้มาลงทุนเพื่อเพิ่มรายได้ อย่ากลัวครับ แต่ต้องคิดให้ดี ศึกษาเยอะๆ เพื่อลดความเสี่ยงครับ
เวลาผ่านไปประมาณ 1 ปีครับ จนผมได้มาเจอกับแฟนของผมคนปัจจุบัน เรารักกันมาก เค้าเข้าใจผม และไม่รังเกียจที่ผมมีหนี้เยอะแยะไปหมด เราอยากแต่งงานเพื่อที่จะสร้างครอบครัวกัน แต่ทำยังไงหล่ะ ผมไม่มีเงินสักบาท ตอนนั้น ผมตัดสินใจ ไปกู้ธนาคาร มา1 ล้านบาท ครับ เพื่อนำมาเป็นค่าใช้จ่ายในการแต่งงาน และ เงินส่วนที่เหลือ ก็ตัดสินใจเอาไปลงทุน เปิดร้านขายของเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สุขภาพและอาหารเสริม (ขอไม่บอกชื่อร้านนะครับ) เพื่อที่จะให้แฟนผมขาย และเอารายได้มาช่วยจุนเจือครอบครัว

ธุรกิจเริ่มแรก ไม่ค่อยดีนักเพราะ ไม่เคยขายสินค้าพวกนี้มาก่อน และมีหลายร้านที่เป็นเจ้าตลาดอยู่ในพื้นที่ที่ไปเปิด จึงได้กำไรไม่มาก เดือนนึง 1-2 หมื่นบาท พอเลี้ยงครอบครัวไปวันๆ ผมก็ยังเป็นรายได้หลัก หาเลี้ยงครอบครัว และชดใช้หนี้ต่างๆที่มีมา
ณ ตอนนี้ ผมมีรายจ่าย
-ค่ารถผม 17,000 บาท
-ส่งน้องเรียน 8,000 บาท
-หนี้ อาจารย์ (จ่ายครบหมดเรียบร้อย)
-หนี้ญาติๆ ผ่อนเดือนละ 10,000 บาท
-รถของแม่ผมที่ติดไฟแนนซ์ 5,000 บาท
-ค่าเทอมของน้องทั้งสองคน ตก ประมาน 6 หมื่นต่อปี เพราะคนนึงเรียนรัฐบาล คนนึงเรียนเอกชน
-เงินกู้ 1ล้าน (ผ่อนเดือนละ 16,500)
-หนี้เพื่อน ที่ยืมมาให้แม่ลงทุน (ผ่อน5,000ต่อเดือน)

อยากบอกนะครับ ว่าการกู้เงิน ไม่ใช่เรื่องน่ากลัว ถ้าคุณรู้จักการทำบัญชีรายรับรายจ่าย เงินที่คุณกู้มาจะช้ำได้เกิดประโยชน์มากๆ แต่ต้องมีระเบียบวินัยในการใช้ ไม่ใช้ซื้อของที่ฟุ่มเฟือย ต้องเอามาลงทุนให้เงินงอกเงย และศึกษาข้อมูลให้ละเอียดทุกๆครั้งที่จะลงทุนนะครับ จะทำให้การกู้เงิน ไม่ใช่เรื่องยากเลย มีใครกู้เงินมาแต่งงานแบบผมบ้าง ตื่นเต้นนะครับ กลัวพ่อตาจับได้ ถ้าจับได้คงไม่ยกลูกสาวให้แน่ๆ 555 ผมล้อเล่นนะครับ ขำๆ
ข้อคิดที่ 12. ถ้าคิดว่าสิ่งที่คุณทำนั้นดีอยู่แล้ว อย่าพยายาม หาอย่างอื่นทำ ถ้าคุณไม่ถนัดจริงๆ ไม่งั้น คุณจะหลงทาง และไปไม่ถึงจุดมุ่งหมายที่แท้จริง
ผมโชคดีอย่างหนึ่ง คือมีเพื่อนๆ และแฟนผมคอยให้กำลังใจตลอดเวลา ทำให้ผมมีแรงฮึด ที่จะสู้ และผ่านสถานการณ์ไปให้ได้ ผมมีรายจ่ายไม่ต่างจากเดิมนัก แต่ด้วยการที่เติบโตมาในครอบครัวที่ทำการค้า เลยอยากที่จะหาอะไรทำเพิ่มจากเดิม ที่มีร้าน อยู่1 ร้านอยู่แล้ว ร้านแรกของผมทำเลไม่ค่อยดีนัก ขายมาได้ 1 ปี ได้กำไรเดือนละ 2-3 หมื่น ซึ่งช่วยผมได้ไม่มากนัก ผมจึงตัดสินใจ กู้เงิน อีก1 ก้อน จำนวน1 ล้านบาท(ตอนนี้รวมแล้วกู้เงินมา 2บัญชี บัญชีละล้าน)
เพื่อที่จะสู้อีกสักตั้ง เปิดร้าน สาขาที่2 เพื่อที่จะขยายธุรกิจที่ทำอยู่ ร้านนี้ผมเลือกทำเลที่เป็นแหล่งชุมชน และมีร้านค้าสะดวกซื้อที่ขายดีมากๆตั้งอยู่ น่าจะช่วยดึงคนมาซื้อของๆผมได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งมันก็เวิร์คครับ เปิดมาแรกๆยอดขายก็เท่ากับร้านแรกแล้ว ขนาดลูกค้ายังไม่รู้จัก ผมเรียนรู้จากประสบการณ์นี้ว่า “ทำเล” มีความสำคัญมากๆในการทำธุรกิจครับ
หลังจากเปิดร้านที่2 มาได้ 1 ปี กำไรที่เคยได้จากร้านแรก แค่2-3 หมื่น ก็เพิ่มขึ้น เป็นทวีคูณ เพราะร้านที่สองค่อนข้างจะขายดี และผมก็ไม่ต้องเสียค่าจ้างพนักงาน เพราะน้องผมเรียนจบพอดี และมาช่วยดูแล โดยไม่คิดค่าจ้าง (น้ำตาไหล) ขอแค่เลี้ยงข้างทุกวันก็พอ น้องผมก็คงรู้ ว่าต้องช่วยผม เพราะที่ผ่านมา ผมเจ็บมาเยอะ จุดนี้ก็เป็นอีกจุด ที่ทำให้ผมยังมีแรงใจ ทำงานต่อไป ตัวผมเอง ก็ยังเป็นเซลล์เหมือนเดิม
แต่ย้ายเขตรับผิดชอบ กลับมาอยู่แถวๆบ้าน เพื่อที่จะได้อยู่กับแฟน และช่วยดูแลร้าน ผมทำงาน 8.00-18.00น. และมานั่งเฝ้าร้านช่วยแฟน จน ถึง5 ทุ่ม ทุกวัน ทำแบบนี้ ต่อกัน 2 ปีเต็มๆ เหนื่อยสุดๆ เพราะแม้แต่เวลาซักกางเกงใน ยังต้องทำหลังเที่ยงคืน เพราะกว่าจะกลับบ้านมา ก็ดึกมากๆแล้ว ซึ่งผมคิดว่าผมเริ่มจะรู้ความต้องการของลูกค้ามากยิ่งขึ้น รู้จักสินค้าในกลุ่มนี้มากขึ้น มีการศึกษาจากทั้งคนที่เคยทำมาก่อน และคนที่เคยล้มจากธุรกิจนี้มา เพื่อนำมาเป็นข้อมูลในการขยายสาขา ซึ่งผมคิดถูก ที่ทำในสิ่งที่ผมถนัด นั้นก็คืองานขาย และธุรกิจที่ผมเคยทำมาก่อนอยู่แล้ว

เพื่อนผมหลายคน เปิดร้านขายของ ขายดีมากครับ ได้กำไรเยอะ แต่พอมีเงิน ก็มีคนชวนไปทำธุรกิจนู่นนี่ ที่ตัวเอง ไม่ถนัด เช่นเล่นหุ้น ไม่ก็ทำขายตรง หรือแม้กระทั้งขายอุปกรณ์การแพทย์ ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่คนเหล่านี้ถนัดเลย พลอยทำให้ธุรกิจหลักต้องแย่ไปด้วย เพราะต้องดึงเงินไปลงทุนและขาดทุนในที่สุด เพราะฉะนั้น ถ้ามั่นใจในสิ่งที่กำลังทำ เดินหน้าสุดตัว พัฒนาตัวเองและธุรกิจอย่างต่อเนื่อง จะช่วยให้เราไม่หลงทาง และเดินไปได้อย่างไม่เสี่ยงครับ
ข้อคิดที่ 13. กตัญญูรู้คุณ จะทำให้คุณผ่านอุปสรรคต่างๆไปได้ แบบที่เราไม่คาดคิดเลยทีเดียว
ด้วยครอบครัวที่ใหญ่ขึ้น ทำให้ผมและแฟนต้องตัดสินใจซื้อบ้าน เพราะก่อนหน้านี้ ผมกับแฟนก็อยู่หอพัก เพราะผมทำงานคนละจังหวัดกัน ส่วนพ่อผม ก็อยู่บ้านญาติ แม่ผมก็อยู่บ้านญาติ เพราะทั้งคู่แยกทางกัน น้องผมอยู่หอพักนศ. แต่พอทุกคนเรียนจบ และผมแต่งงาน ก็จำเป็นที่จะต้องมีที่ๆให้ทุกคนได้อยู่ (พ่อกับแม่ผมเลิกกัน แต่ไม่ได้มีครอบครัวใหม่นะครับ เจอกันได้) ผมซื้อบ้านราคาไม่แพงมาก 2.8 ล้านบาท เป็นบ้าน2ชั้น มี4 ห้องนอน

เพื่อที่จะให้ทุกคนได้อยู่รวมกันได้แบบไม่อึดอัด แต่ก็ตามมาด้วยภาระหนี้ ที่เพิ่มมากขึ้น ผมต้องผ่อน บ้านหลังนี้ 2.2 หมื่นบาทต่อเดือน ซึ่งก็ได้รายรับจากการทำธุรกิจสาขาที่2 มาช่วยจ่าย ทำให้ผมยังคงสามารถบริหารจัดการเงินได้แบบไม่ติดขัดมาก การที่ผมดูแลทุกคนในครอบครัว มันเหมือนผลบุญที่ทำให้ผม ยังคงสามารถหาเงินมาผ่อนหนี้ ต่างๆได้ตามเดิม ไม่สะดุดล้มหัวทิ่มไปสะก่อน
บางครั้งก็แอบน้อยใจนะครับ ว่าทำไมเราต้องมารับภาระหนักอึ้งแบบนี้ แต่ความคิดนี้ก็ต้องถูกลบไป เพราะทุกๆครั้งที่นึกถึงคนในครอบครัว ก็อยากจะให้ทุกคนมีชีวิตที่ดีขึ้น มีบ้านเป็นของตัวเอง ไม่อยากให้มีใครมาดูถูกอีก และพ่อแม่ผมจะได้สบายสักที หลายๆคนคงมีภาระไม่ต่างจากผม แต่อย่าลืมนะครับ การที่เราตอบแทนคุณพ่อแม่ จะทำให้ปัญหาต่างๆค่อยๆถูกแก้ไป และชีวิตจะดีขึ้นเรื่อยๆ รักท่านมากๆนะครับ
ข้อคิดที่ 14. คิดให้ต่างจากคนอื่น ถ้าเราเดินตามหลังคนอื่น เราก็ไม่มีสิทธิที่จะเป็นผู้นำ ถ้าสิ่งที่คุณคิดมันไม่ทำให้ใครลำบาก จัดเต็มเลยครับ คิดในมุมอื่นที่คนอื่นไม่คิด แล้วจะได้อะไรดีๆเพิ่มเข้ามาในชีวิต

หลังจากที่ ติดใจ เพิ่มสาขาในการทำธุรกิจสาขา2 แล้วได้ผล ผมจึงเริ่มหาทำเลใหม่ๆ แต่ในเมืองมีร้านแบบผมเต็มไปหมดครับ ผมเลยคิดว่า ถ้าผมใช้กลยุทธ์ป่าล้อมเมือง ก็คือ เอาร้านออกไปอยู่นอกเมือง ให้คนสามารถซื้อของได้แบบสะดวกๆ ไม่ต้องวิ่งเข้ามาซื้อในเมือง น่าจะทำให้ผมดักลูกค้าจากนอกเมืองได้มากพอสมควร ผมจึงได้ออกไปหาทำเลนอกๆเมือง ซึ่ง ยังไม่มีร้านขายของแบบที่ผมทำ
ผมตัดสินใจอยู่นาน นั่งนับรถที่ผ่านไปมา คนที่เดินผ่านไปมา อยู่หลายวัน จนผมมั่นใจว่าน่าจะขายดีแน่ๆ จึง ให้แฟนผมกู้เงินขึ้นมา อีก1 ก้อน (บัญชีเงินกู้ก้อนที่3) เพราะตัวผมไม่สามารถจะกู้อะไรได้อีกแล้ว เครดิตเต็มแบบสุดๆ โชคดีที่เราไม่ได้จดทะเบียนสมรส ตอนแฟนผมกู้ จึงไม่ได้เช็คเครดิตบูโล ของผมด้วย เพราะถ้าเช็ค ผมคงกู้ไม่ผ่านแน่ๆ จึงได้เงินมาลงทุนอีก 1 ล้านบาท ผมใช้เงินทำร้านสาขาที่3 ไปแค่ครึ่งเดียวของเงินที่ได้มา เหลือเงินอีก5 แสนเอาไว้หมุนเวียนซื้อของ
ซึ่งพอทำมาหลายสาขาก็เริ่มรู้ถึงปัญหาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสินค้าหมดอายุ แหล่งที่ซื้อของที่ถูกๆ และรู้ความต้องการของลูกค้ามากขึ้น มันเลยทำให้สินค้าเสียลดน้อยลง ขายของได้กำไรมากขึ้น ลูกค้าเริ่มติด เพราะมีของหลากหลายขึ้น จากที่เคยมีกำไรจากร้านทั้งสอง สาขาแค่ 7-8หมื่น พอเปิดร้านที่สาม กำไรเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจน เป็นเดือนละ 1.8-2 แสนบาท แต่เงินกู้ของผมก็เพิ่มขึ้นเป็น 3 ก้อนด้วยกัน บวกกับหนี้ที่ต้องจ่ายเจ้าหนี้อีก ก็หนักเอาการเลยครับ

แต่ผมถือว่านี่เป็นการลงทุน เพื่อให้ธุรกิจของผม ผลิตกำไร ออกมาใช้หนี้ให้ได้มากขึ้น ในระยะยาว ผมน่าจะใช้หนี้ได้เร็วขึ้นจากการลงทุนในครั้งนี้ของผม แต่ความเสี่ยงก็ต้องระงับด้วยการทำบัญชีนะครับ ผมทำบัญชีรายรับรายจ่าย ค่ากินอยู่ ทุกบาททุกสตางค์ เพื่อลดความเสี่ยงในการกลับมาล้มอีกครั้ง ซึ่งมันก็ได้ผลครับ ช่วยให้ผมประหยัดมากขึ้นในเดือนที่ค่าใช้จ่ายเยอะ ช่วยให้ผมเก็บเงินได้มากขึ้น ในเดือนที่กำไรเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน เพื่อนๆละครับลองใช้เทคนิคนี้แล้วยัง แรกๆอาจจะเบื่อที่จะทำ แต่ในระยะยาว มันดีกับตัวเราและธุรกิจมากๆครับ
ข้อคิดที่ 15. เมื่อน้ำหาย ตอก็ผุดครับ จงรับมือกับปัญหาที่จะตามมาแบบไม่คาดฝัน อย่าตกใจ เพราะมันเกิดขึ้นกับคนทุกคนที่เป็นหนี้
การขยายร้านสาขาที่ 3 ตรงนี้เป็นจุดเปลี่ยน ที่ทำให้หนี้ของผมเริ่มลดน้อยลง หนี้ญาติๆหมดไป หนี้รถของผม ก็หมดเพราะมีเงินไปโปะส่วนที่เหลือออกมา หนี้เพื่อนที่เคยยืมก็หมดลงพร้อมๆกัน รายจ่ายค่าเทอมของน้องก็หมดไปด้วย แถมได้น้องมาช่วยที่ร้านอีก2 คน ทำให้ผมมีกำลังใจขึ้นมา หลักๆตอนนี้ก็จะมีค่าบ้าน 2.4หมื่น ค่ารถของแม่ผมที่ติดไฟแนนซ์ 5 พัน เงินกู้ 2บัญชี (13,000+22,000) บัญชีแรก ผมตัดสินใจเอาเงินที่เหลือในการทำธุรกิจ 5แสน(ก็คือเงินกู้ก้อนที่สามที่เหลือมานั่นแหละ) ไปโปะ บัญชีเงินกู้บัญชีแรก ซึ่งจ่ายมาเหลืออีกแค่4แสนกว่า เพื่อลดภาระดอกเบี้ยจากธนาคาร

ผมยังคงทำอาชีพเซลล์อยู่ จนเข้าปีที่ 6 ผมเริ่มเบื่อหน่ายกับยอดที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และหัวหน้าก็เริ่มมาจู้จี่มากขึ้นกับยอดทีลดลง ผมจึงเก็บเงินจากกำไรที่ทำร้าน ประมาณ 3 แสนบาท มาลงทุนเปิดร้านที่ 4 ซึ่งก็เป็นร้านที่อยู่นอกเมืองอีกเช่นเคย และผมก็ลาออก และมาทำร้านเต็มตัว คราวนี้ เหมือนสวรรค์เริ่มเห็นใจ รายได้ผมเพิ่มขึ้นจากเดิมมาก และกำไรก็เพิ่มขึ้นมากเช่นกัน จาก2 แสน ตอนนี้กลายเป็นเดือนละ 3 แสนกว่าบาท แต่ด้วยจำนวนร้านที่เพิ่มขึ้น ข่าวการขยายกิจการของผมก็ทำให้เจ้าหนี้ต่างๆของ พ่อและแม่ผม ทยอย เดินทางเข้ามา เพื่อที่จะขอเงินคืน ส่วนใหญ่ ไม่เยอะครับ คนละ 1-2 หมื่น ผมงงพอสมควร ที่ตอนนั้น พ่อแม่ผมทำไมถึงยืมเงินคนเยอะขนาดนี้ แต่ด้วยหน้าที่ของลูกของลูกหนี้ 555 ผมก็จำเป็นที่จะต้องทยอย จ่ายเงินคืนบุคคลเหล่านี้ไปเรื่อยๆจนครบทุกคนครับ
หลายๆคนคงเคยเจอนะครับ หนี้ไม่หมดไม่สิ้น ใช้ก้อนหนึ่งก็มีอีกก้อนหนึ่งโผล่ขึ้นมา คืนเงินคนหนึ่งก็มีของอีกคนหนึ่งโผล่ขึ้นมา มันเป็นเทรนของลูกหนี้ครับ เมื่อเริ่มมีเงิน เจ้าหนี้จะแสดงตัวออกมาให้เราได้เซอร์ไพรส์เล่นๆเสมอ เพราะฉะนั้น เตรียมเงินเก็บไว้บ้างนะครับ ถ้าเหลือก็สะสมไว้ 5-10 % ของกำไร เผื่อมีอะไรเซอร์ไพรส์ จะได้มีเงินสำรองครับ
ข้อคิดข้อที่ 16. ถ้ามีรายได้มากพอ คุณควรจะหยุดบ้าง และหาเวลาใช้หนี้ให้หมด อย่าเดินหน้านำทุนต่อทุน เพราะถ้ามีวันไหนที่คุณพลาด ที่ทำมาตั้งแต่ต้น จะไม่เหลืออะไรเลย

ผมตั้งตัวได้พอสมควร และหันมาเพิ่มสินค้าให้มากขึ้น สั่งของจำนวนมากขึ้น เพื่อให้พอต่อความต้องการของลูกค้า และยังได้ราคาที่ถูกลงเพราะสั่งในปริมาณที่มากขึ้นด้วย ผมเริ่มจัดการหนี้ของผมทีละตัว เริ่มจาก ค่ารถของแม่ที่ติดไฟแนนซ์มาตั้งแต่ผมเรียนจบ ผมจัดการปิดบัญชีไป ตามมาด้วยบัญชีเงินกู้ ก้อนที่2 ผมก็ได้ปิดบัญชีไปในอีก 6เดือนถัดมา
พอธุรกิจของผมเริ่มได้กำไรคงที่ ผมก็เริ่มสนุกกับการทำธุรกิจ ผมหาทำเลร้านใหม่ เพิ่ม โดยเอากำไรของร้านทั้ง4 สาขามาลงทุน ตอนนี้ไม่ต้องกู้มาเพิ่มจากธนาคารเหมือนแต่ก่อนแล้ว เพราะร้านที่ 1-4 ของผมสร้างกำไรให้ผมมาต่อยอดลงทุนเพิ่ม ผม ทำร้านที่ 5 และ 6 ต่อๆกัน จนตอนนี้ ผมมีร้านทั้งหมด 6 สาขา และได้ กำไรต่อเดือน ประมาณ 5-6 แสนบาท ผมจึงหยุดการขยายสาขาของผมลง เพราะผมรู้ว่าธุรกิจ มันไม่แน่นอน มีขึ้นก็มีลง
ผมต้องทยอย ใช้หนี้ให้หมด และเก็บเงินออม ไว้ในอนาคตเผื่อมีเหตุฉุกเฉิน เช่นเศรษฐกิจแย่ หรือมีใครล้มป่วยต้องใช้เงิน เดี๋ยวจะส่งผลต่อการใช้หนี้ที่เหลือของผม ผมเลยหยุดการขยายกิจการ และนำเงินกำไรที่ได้ทยอยจ่ายหนี้หมดไปทีละตัว ทั้งเงินกู้ก้อนที่ 3 และเงินที่แม่เคยไปยืมเพื่อนๆมา ก็ทยอยหมดลง เหลือแต่ ค่าบ้าน ที่ยังผ่อนไม่หมด และผมก็จะทยอยโปะไปเรื่อยๆจนหนี้ก้อนนี้หมดลง

อย่าลืมนะครับ เมื่อมีน้ำขึ้นก็ต้องมีลง อย่าคิดว่าตัวเองจะหาเงินได้แบบนี้ไปตลอดชีวิต คุณต้องเผื่อช่องว่างให้ชีวิตคุณบ้าง เว้นระยะการลงทุนเมื่อคุณคิดว่าธุรกิจคุณเดินไปได้ดีแล้วและกำไรเพียงพอต่อการใช้หนี้แล้ว อย่าโลภจนลืมตัว เพราะนักธุรกิจหลายรายนะครับที่ล้มจากการที่คิดว่าตัวเองจะหาเงินแบบนี้ไปได้เรื่อยๆ ไม่ได้เว้นระยะหายใจให้ตัวเองในการใช้หนี้ เดินหน้าลุยลูกเดียว ยังไงแนวคิดนี้น่าจะมีประโยชน์ให้กับเพื่อนๆบ้าง ไม่มากก็น้อยนะครับ
ข้อคิดที่ 17. เพิ่มความมั่นคงในชีวิตบ้าง ถ้าขาไม่แข็งแล้วจะวิ่งได้ยังไง
หลังจากที่ผมทยอยใช้หนี้ไปจนเกือบจะหมด เหลือแค่ภาระหนี้บ้านเพียงอย่างเดียว ผมเริ่มคิดได้ว่าต้องทำให้ธุรกิจมั่นคง มากกว่าที่จะขยายสาขาไปเรื่อยๆ เพราะร้านผมทุกร้าน ใช้การเช่าทั้งหมดเลย ถ้าวันไหนเจ้าของตึกไม่ให้เช่า ผมคงต้องเจอปัญหาใหญ่มากแน่ๆ เพราะถ้ามัวแต่ขยายแต่ฐานที่มีไม่แน่น ผมก็คงต้องล้มเหมือนเดิม ผมจึงตัดสินใจเริ่มซื้อตึกที่เช่าอยู่ ทยอย ซื้อ ทีละตึก ตอนนี้ ซื้อมาแล้ว 2 ตึก เหลืออีก 4หลัง ซึ่งผมก็ไม่รีบครับ ซื้อทำเลหลักๆที่ทำเงินก่อน ทำเลที่ทำเงินได้ไม่เยอะเท่า ก็เก็บไว้ซื้อทีหลัง กะว่าจะเอากำไรทยอยโปะ ให้หมดไปทีละตึก แล้วค่อยซื้อตึกต่อๆไป จะได้ไม่เสี่ยงมากครับ
ตอนนี้ผมได้กำไร จากทุกร้านของผม เดือนละ5-6 แสน เอาไปจ่ายค่าบ้าน และตึก 2หลัง ประมาน1 แสนต่อเดือน ค่าพนักงานประมาน 2 แสนบาท ค่าเช่าตึกและค่ากินอยู่ในบ้าน อื่นๆจิปาทะอีก ประมาน 1 แสน เหลือจริงๆให้เก็บ ก็เดือนละ 1-2 แสนครับ ตอนนี้ผมมีเงินเก็บ 1ล้านบาทแล้ว หวังว่าจะสะสมเงินไปเรื่อยๆ ส่วนหนึ่งจะเอาไปโปะบ้านและตึก อีกส่วนจะเก็บไว้ให้ลูกๆในอนาคตครับ

เรื่องของผมยาวมากเลยครับ ตอนแรกอยากจะเล่าให้กระฉับกว่านี้ แต่มันทำไม่ได้จริงๆ ต้องขอโทษถ้ามันยาวเกินไปนะครับ ผมแค่อยากให้คนที่ต้องเจอปัญหา แบบที่หาทางแก้ไม่ได้ มองไปทางไหนก็หาทางออกไม่เจอ มีกำลังใจมากยิ่งขึ้นครับ
ทุกปัญหามีทางออก แก้ที่ละเปราะ อย่าคิดจะแก้ทีเดียวให้หมด เพราะมันจะทำให้คุณไม่รู้จะแก้อะไรก่อน และหลัง เอาปัญหาที่สำคัญ มาแก้ก่อน ตัวอื่น ผ่อนผันได้ก็ผ่อนผันไปครับ ค่อยๆแก้และเดินไปทีละสเต็ป อย่ารีบก้าวกระโดด ศึกษาข้อมูลการทำธุรกิจให้รอบครอบ ก่อนตัดสินใจ สิ่งสำคัญที่สุด คือความอดทน ครับ อย่าหลงระเริงกับมือถือ ยี่ห้อใหม่ๆ เสื้อผ้าหรูๆ รถแพงๆ ทุกวันนี้ ผมก็ยังใช้เสื้อผ้าธรรมดาตัวละ199 ขับรถคันเดิมเมื่อ 8 ปีที่แล้ว ใช้ชีวิตเหมือนเดิม กินข้าวข้างทางเหมือนเดิม ยังไง ใครเจอปัญหาอะไร เอามาแชร์กันได้นะครับ
กระทู้นี้ไม่ได้มีเจตนาอวดอ้างอะไร เพราะถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่ได้รวย แค่ใช้หนี้ที่ผ่านๆมาหมดแค่นั้นเอง อยากให้เพื่อนๆที่กำลังประสบปัญหา เจอทางออกเร็วๆ หวังว่าข้อคิดทั้ง 17 ข้อจะช่วยให้เพื่อนๆที่มีปัญหาสามารถนำไปเป็นแนวคิดได้ ไม่มากก็น้อยนะครับ อาจจะยาวไปนิด ต้องขอบคุณเพื่อนๆที่อ่านจนจบ ขอบคุณครับ+++ปล.ใครมีแนวคิดดีๆ หรือปัญหาอะไร เอามาแชร์กันได้นะครับ คุยกันชิวๆ สบายๆครับ
เป็นอย่างไรกันบ้างคะเพื่อนๆ หวังว่าเพื่อนๆ ทุกคนที่เข้ามาดูจะชอบใจนะคะ ถ้าหากคิดว่าเป็นประโยชน์ก็สามารถแชร์กันออกไปให้คนอื่นได้ดูด้วยนะคะ
แหล่งที่มา : kaijeaw