กินข้าวคนเดียวยังเหงาไม่พอ อาจเสี่ยง 4 โรคต่อไปนี้ด้วย !

กินข้าวคนเดียวไม่เพียงแต่รู้สึกเหงา ทว่าอาจเสี่ยงโรคซึมเศร้า และโรคเรื้อรังอันตรายต่อสุขภาพกาย ช้ำใจไปอีก !

          ในสังคมปัจจุบันมีคนที่ใช้ชีวิตตัวคนเดียวมากขึ้น ห่างบ้าน มาทำงานต่างจังหวัด ต้องแยกจากครอบครัว และเริ่มจะเคยชินกับการใช้ชีวิตตัวคนเดียวมากขึ้นทุกวัน และถึงแม้ว่าการอยู่คนเดียวสำหรับหลายคนอาจไม่ใช่เรื่องน่าทุกข์ใจ เพราะค่อนข้างรักอิสระซะมากกว่า ทว่าเหตุผลที่เราไม่อยากให้กินข้าวคนเดียวนั้นก็มีน้ำหนักมากพอที่อาจทำให้คนกินข้าวคนเดียวเป็นประจำเริ่มอยากหาใครมากินข้าวเป็นเพื่อน เพราะผลวิจัยชี้ชัด กินข้าวคนเดียว ไม่ใช่แค่ความรู้สึกเหงาที่ได้รับ แต่อาจเสี่ยงกับ 4 โรคต่อไปนี้ด้วย


โรคซึมเศร้า

1. โรคซึมเศร้า

          แม้โรคซึมเศร้าจะไม่ใช่โรคระบาด แต่ก็ปฏิเสธได้ยากว่าทุกวันนี้มีผู้ป่วยโรคซึมเศร้าเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงาน ซึ่งไม่ใช่แค่ปัจจัยภายนอกเท่านั้นที่ผลักดันให้ป่วยโรคซึมเศร้ากันเยอะขึ้น แต่พฤติกรรมอย่างการกินข้าวคนเดียวก็อาจเพิ่มความเสี่ยงโรคซึมเศร้าได้ไม่น้อยค่ะ

          โดยการศึกษาจากภาควิชาจิตวิทยา มหาวิทยาลัยแห่งรัฐนิวเจอร์ซี เผยว่า ความรู้สึกเหงาเป็นภัยต่อสุขภาพอย่างร้ายกาจ หนักกว่าพฤติกรรมทำลายสุขภาพ เช่น สูบบุหรี่วันละ 15 มวน หรือพฤติกรรมขาดการออกกำลังกายซะด้วยซ้ำ ซึ่งมูลนิธิ The UK-based Campiagn to End Loneliness ก็ให้ความเห็นตรงกันว่า การช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยว โดยเฉพาะคนที่กินข้าวคนเดียวทั้ง ๆ ที่ก็รู้สึกเหงา ไปไหนมาไหนคนเดียวแบบเหงา ๆ มักจะเสี่ยงต่อโรคทางจิตเวชอย่างโรคซึมเศร้าค่อนข้างมาก ยิ่งกับผู้สูงอายุ (65 ปีขึ้นไป) ยิ่งเสี่ยงต่อโรคทางจิตวิทยามากกว่าวัยอื่น ๆ และมีแนวโน้มที่คนอายุต่ำกว่า 50 ปีจะเสี่ยงโรคนี้กันเพิ่มขึ้น อีกทั้งการใช้ชีวิตตัวคนเดียวอาจทำให้เสี่ยงโรคความจำเสื่อมอีกด้วยนะคะ

2. โรคอ้วน

          หลายคนอาจสงสัยว่ากินข้าวคนเดียวจะอ้วนได้ยังไง เพราะมีเพื่อนชวนกันกินน่าจะเสี่ยงต่อโรคอ้วนมากกว่า มาค่ะ เราจะอธิบายให้ทราบกัน โดยการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Obesity Research & Clinical Practice ก็เผยว่า คนที่ใช้ชีวิตตัวคนเดียวมักจะขาดแรงจูงใจในการเลือกอาหารในแต่ละมื้อ และมักจะมีความรู้สึกเบื่อ ๆ ไม่รู้จะกินอะไร สุดท้ายก็ไปจบที่อาหารจานด่วน อาหารแช่แข็ง อาหารที่ให้สารอาหารที่มีประโยชน์น้อย แต่มีแคลอรีสูง เช่น ฟาสต์ฟู้ด หรืออาหารกึ่งสำเร็จรูป เป็นต้น

          นอกจากนี้คนที่กินข้าวคนเดียวมักจะไม่ค่อยใส่ใจจะกินผัก-ผลไม้กันเท่าไรนัก ซึ่งจากการศึกษากลุ่มประชากรเกาหลีใต้จำนวน 7,725 คน ก็พบว่า ภาวะอ้วนจะเสี่ยงกับผู้ชายมากกว่าผู้หญิง โดยผู้ชายที่รับประทานอาหารคนเดียวเป็นประจำมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอ้วนมากขึ้น 45 % และเสี่ยงต่อการเกิดโรคที่เกี่ยวข้องกับการเผาผลาญพลังงานมากขึ้น 64% ในขณะที่สาว ๆ ที่กินข้าวคนเดียวจะมีความเสี่ยงเป็นโรคอ้วนอยู่ที่ 29% น้อยกว่าเพศชายกว่า 2 เท่าเลยทีเดียว ดังนั้นหนุ่ม ๆ ที่ชอบกินข้าวคนเดียวหรือจำเป็นต้องกินข้าวคนเดียว ต้องรีบหาคนมากินข้าวเป็นเพื่อนแล้วล่ะค่ะ


โรคซึมเศร้า

3. โรคเบาหวาน

          เมื่ออ้วน หรือผอมแต่ลงพุง เพราะไม่ค่อยใส่ใจกับการเลือกรับประทานอาหารและการออกกำลังกาย แน่นอนค่ะว่าโรคเบาหวานชนิดที่ 2 อาจถามหาได้ในไม่ช้าไม่นาน ซึ่งเราก็ไม่ได้กล่าวลอย ๆ หรอกนะคะ งานวิจัยข้างต้นก็ให้ข้อมูลเหมือนกันว่า นอกจากโรคอ้วนแล้ว โรคที่คนกินข้าวคนเดียวบ่อย ๆ ค่อนข้างเสี่ยงก็คือโรคเบาหวานนี่แหละ

4. โรคหัวใจ

          ความเสี่ยงโรคหัวใจกับการกินข้าวคนเดียวก็สืบเนื่องมาจากพฤติกรรมเลือกรับประทานอาหาร ที่ค่อนไปทางจะเลือกรับประทานอาหารแคลอรีสูง กินผักน้อย ไม่ค่อยใส่ใจสุขภาพ ซึ่งอาจส่งผลให้ระดับคอเลสเตอรอลในเลือดสูง เสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ อีกทั้งการอยู่ตัวคนเดียว ใช้ชีวิตคนเดียวยังเสี่ยงต่อภาวะเครียดสะสม เพราะไม่มีคนให้แชร์ ให้ปรับทุกข์ ซึ่งภาวะเครียดนี้ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดโรคเรื้อรังต่าง ๆ อีกมาก โดยเฉพาะโรคที่เกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือด

          ไม่ว่าตอนนี้สถานะของคุณจะชอบอยู่คนเดียวหรือจำเป็นต้องอยู่คนเดียวก็ตาม เราก็อยากขอให้ทุกคนใส่ใจสุขภาพให้มากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องพฤติกรรมการรับประทานอาหาร ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังดังโรคข้างต้น และนอกจากเรื่องอาหารการกินแล้ว สังคมก็เป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิตด้วยเช่นกันค่ะ แค่มีเพื่อนก็มีกิจกรรมชวนกันทำ มีปฏิสัมพันธ์ มีบรรยากาศที่ไม่เงียบเหงาเหมือนอยู่ตัวคนเดียว ซึ่งสิ่งนี้แหละที่จะช่วยให้เรามีสุขภาพจิตดีขึ้น แล้วยังอาจเป็นแรงผลักดันให้อยากเริ่มต้นดูแลสุขภาพมากขึ้นด้วยนะคะ

          เหมือนประโยคคำคมที่กล่าวว่า...กินข้าวที่ไหนก็ไม่สำคัญ อยู่ที่คนกินข้าวด้วยกันมากกว่า....ว่าไหมล่ะคะ ?
  
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
มูลนิธิหัวใจแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมป์
time
nbcnews
huffingtonpost