Home »
Uncategories »
แก่มาใครจะเลี้ยงเรา อ่านเถอะจะทำให้เราได้เข้าใจอะไรได้มากขึ้น
แก่มาใครจะเลี้ยงเรา อ่านเถอะจะทำให้เราได้เข้าใจอะไรได้มากขึ้น
แก่ชรามาใครจะเลี้ยงเรา อ่ า นเถอะจะทำให้เราได้เข้าใจอะไรได้มากขึ้น
“มีลูกแก่แล้วจะได้มีคนเลี้ยง”
เป็นแนวความคิดที่สืบทอดมาแต่โบราณ
และเป็นปรากฏการณ์ทางสังคมที่เกิດขึ้นจริง แต่ในปัจจุบันนี้
เห็นข่าวรายงานมากมาย “คนชราเข้ากับครอบครัวไม่ได้
คุณคิดว่าคำพูดนี้ยังใช้ได้ไหม?”
เ รื่ อ งราวด้านล่างนี้จะทำให้คุณค้นหาคำตอบ
มีคุณแม่คนหนึ่ง สามีเสียไปนานแล้ว
เธอสอนหนังสือหาเงินเลี้ยงลูกชายจนโต เด็ กชายเป็นคนเชื่อฟังตั้งแต่เด็ ก
พอลูกโต เธอก็ส่งลูกไปเรียนอเมริกา
พอลูกเรียนจบก็อยู่ทำงานต่อที่อเมริกาหาเงินซื้อบ้าน แต่งงาน มีลูกหนึ่งคน
สร้างครอบครัวที่แสนสุข คุณแม่คนนี้ ตั ดสินใจย้ายไปอยู่กับลูกชาย
ลูกสะใภ้และหลานที่อเมริกาหลังเกษียณ มีความสุขในบั้นปลายชีวิตแล้ว
3 เดือนก่อนที่เธอจะเกษียณ
เธอได้เขียนจดหมายไปหาลูกชาย บอกความปรารถนานี้กับเขา ว่า
ตัวเธอเองคิดถึงประโยคที่ว่า มีลูกจะได้มีคนเลี้ยงตอนแก่ คิดถึงสายตาอิ จ ฉ
าของญาติ และเพื่อนฝูง เธอมีความสุขจากใจ ระหว่างรอจดหมายตอบจากลูกชาย
เธอก็จัดการเ รื่ อ งบ้านและงานจนเรียบร้อย
คืนสุดท้ายก่อนเธอจะเกษียณ เธอก็ได้รับจดหมายที่ส่งมาจากอเมริกาของลูกชาย พอเปิดออกดูข้างในก็เป็นเช็คมูลค่า 3 หมื่นเหรียญดอลล่าห์
เธอรู้สึกแปลกใจมาก
เพราะลูกชายไม่เคยส่งเงินให้เธอมาก่อน เธอรีบเปิดจดหมายออกอ่ า
นในจดหมายเขียนว่า “แม่ครับ พวกเราได้คุยกันแล้ว ตั ดสินใจ และสรุปว่า
พวกเราไม่ยินดีให้แม่มาอยู่ด้วยกันที่อเมริกา
ถ้าแม่คิดว่าแม่มีบุญคุณที่เลี้ยงดูผมมา คำนวณตามราคาตลาด ก็ประมาณ 2
หมื่นกว่าเหรียญ ผมก็เลยเพิ่มให้นิดหน่อย แล้วส่งเช็ค 3 หมื่นมาให้แม่
หวังว่าต่อไปนี้แม่จะไม่เขียนจดหมายมาอีก”
แม่อ่ า
นจดหมายฉบับนั้นจบก็น้ำตาไหลพราก รู้สึกว่าตัวเองเป็นม่ายมาตลอดชีวิต
จากนี้ไปต้องแก่อย่างโดดเดี่ยว เธอเจ็ບปວดจนไม่อย า กมีชีวิตอยู่
เวลาต่อมาเธอก็ศึกษาพระพุทธศาสนา หลังศึกษา เธอก็คิดได้ เธอใช้เงิน 3 หมื่นเหรียญเอาไปเดินทางเที่ยวรอบโลก ได้เห็นสิ่งใหม่ มากมาย
หลังจากนั้นเธอจึงเขียนจดหมายหนึ่งฉบับถึงลูกชาย
ในจดหมายว่า “ลูกรัก ลูกไม่อย า กให้แม่เขียนจดหมายมาอีก
ก็ถือซะว่าจดหมายฉบับนี้เป็นข้อความเพิ่มเติมจากฉบับที่แล้วละกัน
แม่ได้รับเช็คแล้ว และใช้เงินจำนวนนั้นไปเดินทางรอบโลก
ระหว่างเดินทางท่องเที่ยว อยู่
แม่ก็รู้สึกว่า แม่ควรขอบใจลูก ขอบใจที่ทำให้แม่เห็นอะไรทะลุ ปรุโปร่ง
ปล่อยวาง ทำให้แม่ได้เห็นว่า ความสัมพันธ์ในครอบครัว เพื่อน
และคนรักไม่มีรากหยั่งลึก เปลี่ยนแปลงได้เสมอ ถ้าวันนี้แม่ยังคิดไม่ตก
ยังยึดติด ยังทุกข์อยู่ แม่คงต า ยไปภายในปีครึ่งปี การปฏิเสธของลูก
ทำให้แม่ได้เห็นว่าคนเรามีวาสนาก็ได้เจอ หมดวาสนาก็จากกัน
ทุกอย่างไม่เที่ยงแท้ ทำให้แม่เรียนรู้ที่จะสงบและใจเย็น
มองทุกอย่างในเชิงบวก แม่ไม่มีลูกแล้ว ไม่มีอะไรให้เป็นห่วง
เพราะงั้นแม่ถึงสามารถอยู่ได้โดยไม่มีมัน
“พ่อแม่ที่น่าสงสาร” คนเป็นพ่อแม่อย า กมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูก แต่สุดท้ายแล้วสิ่งที่ได้รับกลับไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุด
มีคนกล่าวไว้ว่า
บ้านของพ่อแม่คือบ้านของลูกตลอดเวลา บ้านของลูกไม่เคยเป็นบ้านของพ่อแม่
การให้กำเนิดลูกเป็นงานที่ต้องทำ การเลี้ยงดูลูกเป็นภาระหน้าที่
การพึ่งพาลูกเป็นความเข้าใจผิด ช่างเป็นเ รื่ อ งราวที่ไม่น่าฟัง
แต่ก็ไม่ฟังก็ไม่ได้ แม้ว่าไม่ใช่ลูกทุกคนจะเป็นเหมือนลูกชายในเ รื่ อ
งที่ไม่มีหัวใจ แต่คนเป็นพ่อแม่ไม่ควรคิดว่าแก่แล้วจะพึ่งพาลูก
พูดกันตามตรง แก่แล้วต้องดูแลตัวเอง ลูกกตัญญูต่อคุณถือเป็นบุญ
ถ้าลูกกตัญญูไม่พอ พ่อแม่ก็บังคับไม่ได้ วิธีที่ดีที่สุดคือ
วางแผนชีวิตพึ่งพาตัวเองตอนแก่ไว้
จากมุมมองของสังคม
การมีลูกจะได้มีคนเลี้ยงตอนแก่เป็นความปรารถในใจ แต่ในยุคปัจจุบัน เศรษฐกิจ
สังคม วัตถุนิยม วิถีการดำเนินชีวิตที่เปลี่ยนไป สถานการณ์ในปัจจุบันคือ
คนยุคใหม่เปลี่ยนไป คนอายุมากยังยึดติด
การที่คนอายุมากยึดแนวความคิดว่ามีลูกจะได้มีคนเลี้ยงตอนแก่ไม่เหมาะสมกับอีกต่อไป
สิ่งที่ตามมาคือโศกนาฏกssม
ขอขอบคุณแหล่งที่มา : LIEKR