เราคงเถียงกันไม่ได้ว่า เทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทในการทำงานของมนุษย์มากยิ่งขึ้นทุกวัน
โดยในปัจจุบันองค์กรหรือบริษัทต่างๆ ในภาคอุตสาหกรรมได้นำเทคโนโลยีต่างๆ
เข้ามาช่วยในการดำเนินการด้านการผลิตเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ไม่ว่าจะเป็นการใช้ระบบซอฟต์แวร์ประเภทต่างๆ ในการควบคุมเครื่องจักร
และยังรวมถึงการนำหุ่นยนต์มาช่วยทำงานในด้านต่างๆ อีกด้วย
นอกจากนี้ ในรายงานยังได้ระบุอีกด้วยว่า 1 ใน 3 ของแรงงานในประเทศร่ำรวย เช่น ประเทศเยอรมนี และประเทศสหรัฐอเมริกา อาจจะต้องมีการเข้ารับการฝึกอบรม พัฒนาทักษะในการทำงานใหม่ เพื่อที่จะสามารถไปประกอบอาชีพอื่นได้ โดยผู้ที่ทำงานควบคุมเครื่องจักรและแรงงานในอุตสาหกรรมอาหาร อาจะได้รับผลกระทบมากที่สุด
ส่วนประเทศยากจน ซึ่งมีเงินในการลงทุนกับเทคโนโลยีหุ่นยนต์น้อย จะได้รับผลกระทบน้อยกว่า เช่น ประเทศอินเดีย จะมีตำแหน่งงานโดยประมาณร้อยละ 9 ที่จะถูกเข้ามาแทนที่ด้วยเทคโนโลยี
ซึ่งผู้เขียนรายงานเชื่อว่า งานของนายหน้าสินเชื่อที่อยู่อาศัย ผู้ช่วยทนายความ และเสมียน จะอยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่จะถูกแทนที่ด้วยระบบอัตโนมัติมากที่สุด ส่วนตำแหน่งงานที่ต้องอาศัยการปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ เช่น แพทย์ ทนายความ ครู และบาร์เทนเดอร์ จะเผชิญกับความเสี่ยงที่จะถูกระบบอัตโนมัติมาแทนที่น้อยกว่า และยังรวมถึงอาชีพที่มีรายได้น้อย เช่น คนสวน ช่างประปา และผู้ดูแลคนเจ็บ จะได้รับผลกระทบน้อยที่สุด
สำหรับประเทศที่พัฒนาแล้ว ตลาดแรงงานต้องการแรงงานที่จบการศึกษาในระดับอุดมศึกษาเพิ่มมากยิ่งขึ้น ในขณะที่ตำแหน่งงานที่ใช้ระดับการศึกาษาไม่สูงจะมีจำนวนลดลง
โดยในรายงานได้ระบุว่า ประเทศสหรัฐอเมริกา จะมีประมาณ 39 ถึง 73 ล้านตำแหน่งงานที่หายไปภายในปี 2030 และจะมีแรงงานประมาณ 20 ล้านคน ที่สามารถย้ายไปหางานใหม่ในภาคอุตสาหกรรมอื่นได้ ส่วนในสหราชอาณาจักร ได้มีการคาดการณ์ว่าจะมีตำแหน่งงานประมาณร้อยละ 20 ที่เปลี่ยนไปเป็นระบบอัตโนมัติมีหุ่นยนต์เข้ามาช่วยในการทำงานเพิ่มมากขึ้น ภายในปี 2030 เช่นกัน
ดังนั้น เราจะได้เห็นได้ว่าโลกได้มีการเปลี่ยนผ่านในระดับเดียวกับช่วงศตวรรษที่ 1900 ซึ่งอาชีพเกษตรกรรมถูกเปลี่ยนมาเป็นงานในโรงงานอุตสาหกรรมอย่างเต็มรูปแบบ และก็ได้มีเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาแทนที่การทำงานทำให้เกิดเป็นอาชีพใหม่ ซึ่งคล้ายกับช่วงที่เริ่มมีคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลในช่วงทศวรรษที่ 1980 ทำให้เกิดงานด้านการสนับสนุนเทคโนโลยีตามขึ้นมา และยังรวมถึงธุรกิจออนไลน์อีกด้วย
หุ่นยนต์ จะเข้ามาทำงานแทนที่คน?!
โดยรายงานจากสถาบันระหว่างประเทศแมคเคนซี ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาได้ออกมาเปิดเผยว่า ในปี 2030 จะมีคนตกงานถึง 800 ล้านตำแหน่ง เนื่องจากถูกหุ่นยนต์เข้ามาแทนที่ในการทำงาน หรือคิดเป็นผลกระทบต่อคนประมาณ 1 ใน 5 ของตลาดแรงงานโลก ซึ่งข้อสรุปนี้มีที่มาจากการเก็บข้อมูลของกลุ่มตัวอย่าง 800 อาชีพ ใน 46 ประเทศนอกจากนี้ ในรายงานยังได้ระบุอีกด้วยว่า 1 ใน 3 ของแรงงานในประเทศร่ำรวย เช่น ประเทศเยอรมนี และประเทศสหรัฐอเมริกา อาจจะต้องมีการเข้ารับการฝึกอบรม พัฒนาทักษะในการทำงานใหม่ เพื่อที่จะสามารถไปประกอบอาชีพอื่นได้ โดยผู้ที่ทำงานควบคุมเครื่องจักรและแรงงานในอุตสาหกรรมอาหาร อาจะได้รับผลกระทบมากที่สุด
ส่วนประเทศยากจน ซึ่งมีเงินในการลงทุนกับเทคโนโลยีหุ่นยนต์น้อย จะได้รับผลกระทบน้อยกว่า เช่น ประเทศอินเดีย จะมีตำแหน่งงานโดยประมาณร้อยละ 9 ที่จะถูกเข้ามาแทนที่ด้วยเทคโนโลยี
ซึ่งผู้เขียนรายงานเชื่อว่า งานของนายหน้าสินเชื่อที่อยู่อาศัย ผู้ช่วยทนายความ และเสมียน จะอยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่จะถูกแทนที่ด้วยระบบอัตโนมัติมากที่สุด ส่วนตำแหน่งงานที่ต้องอาศัยการปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ เช่น แพทย์ ทนายความ ครู และบาร์เทนเดอร์ จะเผชิญกับความเสี่ยงที่จะถูกระบบอัตโนมัติมาแทนที่น้อยกว่า และยังรวมถึงอาชีพที่มีรายได้น้อย เช่น คนสวน ช่างประปา และผู้ดูแลคนเจ็บ จะได้รับผลกระทบน้อยที่สุด
สำหรับประเทศที่พัฒนาแล้ว ตลาดแรงงานต้องการแรงงานที่จบการศึกษาในระดับอุดมศึกษาเพิ่มมากยิ่งขึ้น ในขณะที่ตำแหน่งงานที่ใช้ระดับการศึกาษาไม่สูงจะมีจำนวนลดลง
โดยในรายงานได้ระบุว่า ประเทศสหรัฐอเมริกา จะมีประมาณ 39 ถึง 73 ล้านตำแหน่งงานที่หายไปภายในปี 2030 และจะมีแรงงานประมาณ 20 ล้านคน ที่สามารถย้ายไปหางานใหม่ในภาคอุตสาหกรรมอื่นได้ ส่วนในสหราชอาณาจักร ได้มีการคาดการณ์ว่าจะมีตำแหน่งงานประมาณร้อยละ 20 ที่เปลี่ยนไปเป็นระบบอัตโนมัติมีหุ่นยนต์เข้ามาช่วยในการทำงานเพิ่มมากขึ้น ภายในปี 2030 เช่นกัน
ดังนั้น เราจะได้เห็นได้ว่าโลกได้มีการเปลี่ยนผ่านในระดับเดียวกับช่วงศตวรรษที่ 1900 ซึ่งอาชีพเกษตรกรรมถูกเปลี่ยนมาเป็นงานในโรงงานอุตสาหกรรมอย่างเต็มรูปแบบ และก็ได้มีเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาแทนที่การทำงานทำให้เกิดเป็นอาชีพใหม่ ซึ่งคล้ายกับช่วงที่เริ่มมีคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลในช่วงทศวรรษที่ 1980 ทำให้เกิดงานด้านการสนับสนุนเทคโนโลยีตามขึ้นมา และยังรวมถึงธุรกิจออนไลน์อีกด้วย