ขนมกล้วย สูตรกล้วยหอมเนื้อหนึบอร่อยง่ายทำได้เอง

กล้วยหอมเหลืออย่าทิ้ง จับมาทำเมนูขนมกล้วย ขนมไทยแสนอร่อยกันดีไหม เนื้อหนึบหนับอร่อยเกินห้ามใจ ทำเองได้ง่ายสมชื่อจริง ๆ นะเธอ
     จากที่เคยกินขนมกล้วยใส่กล้วยน้ำว้า ลองเปลี่ยนมาใส่กล้วยหอมแทนกันเถอะ กระปุกดอทคอมขอนำเสนอวิธีทำขนมกล้วย (Thai Steamed Banana Cake) สูตรจาก คุณ Rin's Cookbook (#Rinscookbook) กลิ่นหอมชวนหิว ใส่พิมพ์ถ้วยตะไลหรือพิมพ์อื่น ๆ ตามชอบ ขั้นตอนไม่ยุ่งยากมือใหม่ก็ทำได้จ้า

ส่วนผสม ขนมกล้วย     • กล้วยหอมสุก 6 ลูก
     • กะทิ 1+1/3 ถ้วย
     • มะพร้าวสดขูด หรือมะพร้าวแห้งขูด 1+1/2 ถ้วย (สำหรับปั่นกับกะทิ และสำหรับโรยหน้า)
     • แป้งข้าวเจ้า 1+1/4 ถ้วย
     • แป้งมันสำปะหลัง 1/2 ถ้วย
     • แป้งท้าวยายม่อม 1/2 ถ้วย (ถ้าไม่มีก็เพิ่มแป้งมันเข้าไป)
     • น้ำตาลทราย 1+1/3 ถ้วย
     • เกลือ 1 ช้อนชา

วิธีทำขนมกล้วย



ขนมกล้วย

     • ใส่มะพร้าวขูดลงไปปั่นผสมกับน้ำกะทิ

ขนมกล้วย

     • ปั่นผสมจนละเอียด พักไว้

ขนมกล้วย

     • ใส่กล้วยหอมลงอ่างผสม ใช้ที่บดมันฝรั่งบด

ขนมกล้วย

     • บดให้ละเอียด พักไว้

ขนมกล้วย

     • ใส่น้ำตาลทรายกับเกลือลงไป

ขนมกล้วย

     • คนผสมให้เข้ากัน พักไว้

ขนมกล้วย

     • ใส่แป้งข้าวเจ้า แป้งมัน และแป้งท้าวยายม่อม ลงในถ้วยผสม (หรือจะใส่ลงไปในกล้วยเลยก็ได้)

ขนมกล้วย

     • ใส่ส่วนผสมน้ำกะทิลงไป

ขนมกล้วย

     • คนผสมให้เข้ากัน

ขนมกล้วย

     • ต่อมาก็นวดผสมให้เข้ากัน จนไม่เป็นเม็ด

ขนมกล้วย

     • เทใส่ลงในส่วนผสมกล้วยบด

ขนมกล้วย

     • คนผสมพอเข้ากัน อย่าคนแรงเพราะจะเกิดฟองอากาศ

ขนมกล้วย

     • ตั้งชุดนึ่งใส่น้ำรอไว้เลย และใส่ส่วนผสมขนมกล้วยลงไปพิมพ์ถ้วยตะไล ถ้วยละประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ โรยมะพร้าวขูด นำไปนึ่่งในชุดนึ่งที่น้ำเดือด นึ่งประมาณ 15-20 นาที หรือ 18 นาที

ขนมกล้วย

     • ทดสอบความสุกโดยใช้ไม้จิ้มลงไป ถ้าไม่มีแป้งติดขึ้นมาถือว่าสุก

ขนมกล้วย

     • นำพิมพ์ขึ้นมาพักไว้จนเย็น

ขนมกล้วย

     • ถ้านึ่งด้วยถาดสี่เหลี่ยม นึ่งประมาณ 25-30 นาที

ขนมกล้วย

     • นำขึ้นมาทั้งพิมพ์ พักไว้จนเย็น

ขนมกล้วย

     • พอขนมกล้วยเย็นแล้วตักออกมา

ขนมกล้วย

     • พร้อมเสิร์ฟ

    เคยกินแต่ขนมกล้วยใส่กล้วยน้ำว้า พอเจอสูตรใช้กล้วยหอมก็น่าสนใจเหมือนกันนะคะ คิดว่าต้องหอมกว่าเดิมแน่นอน เอาล่ะ… ขอตัวไปซื้อส่วนผสมก่อนนะคะ บ๊ายบาย

ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
Rin's Cookbook (#Rinscookbook) และ เฟซบุ๊ก Rin Silpachai

ที่มา  http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=thewho&month=24-11-2016&group=13&gblog=168