Edit ตำนาน พระเจ้าเหา กษัตริย์ผู้มีพระนามแปลก ที่แท้เป็นคนไทย หลายคนเคยมีคำพูดติดปากว่า ...มีมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าเหาแล้ว แล้วทราบกันหรือไม่ ว่าพระเจ้าเหาที่พูดกันติดปากนี้ เป็นใคร มาจากไหน วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับ พระเจ้าเหา โดยผู้ใช้เฟสบุ๊ค รุ่ง โคราช ได้โพสต์ข้อความถึงกรณีดังกล่าว โดยระบุข้อความว่า "พระเจ้าเหา"คือใคร? ใช่เรื่องจริงฤๅเรื่องเล่าจากตำนาน วันนี้...เราจะพูดกันถึงความพิลึกของคำว่า"พระเจ้าเหา"ที่มีผู้นำเอาไปเกี่ยวข้องกับกาลเวลานั้น "พระเจ้าเหา"มีตัวตนเป็นบุคคลหรือเรื่องที่พูดกันเล่นๆ จากคำกล่าวที่ว่า....มีมาแต่สมัย"พระเจ้าเหา" ซึ่งก็หมายความว่า...มีความเป็นมาที่ยาวนาน จากบันทึกในพงศาวดารจีน(แปลเป็นภาษาไทย) บันทึกเอาไว้ว่า"พระเจ้าเหา"คือคนไทย ที่ซึ่งชาวจีนเรียกกันว่า"พระเจ้าเสียวเหา" ครองราชย์อยู่ในระหว่าง 2504-1871 ก่อนพุทธศักราช แต่บรรดาลูก หลาน เหลน โหลน ผู้สืบวงค์ตระกูล ต่างกระจัดกระจาย กลายเป็น"ชาวดอย"ที่อาศัยอยู่ในมณทลยูนาน กวางตุ้ง กวางสี เสฉวน และยูนนาน(โดยได้มีการพบพวกเขาเหล่านั้นในสมัยราชวงค์ฮั่น) ซึ่งในบันทึกเดียวกันยังได้บันทึกเอาไว้อีกว่า กษัตริย์ของจีนพระองค์แรกคือ "พระเจ้าหว่างตี่" (2154 ปีก่อนพุทธศักราช) ซึ่งเป็นเรื่องหลักจากที่"พระเจ้าเหา"ได้สิ้นพระชนม์ไปแล้ว โดยที่ชาวจีนได้อพยบเข้ามาและยึดดินแดนที่ชาวไทยครอบครองอยู่ก่อนมาเป็นของตน(ประเทศจีนปัจจุบัน) โดยที่ Edward H.Sehafer ได้เป็นผู้บันทึกไว้ในหนังสือจีนโบราณ Ancient China ตอนหนึ่งว่า ...อารยธรรมในส่วนที่เกี่ยวข้องกับจิตใจ และจินตนาการส่วนมาก ซึ่งพวกเราในปัจจุบันคิดว่าเป็นแบบจีนนั้น ความจริงได้กำเนิดมาจากประชาชนคนไทยเดิมทางใต้ จากประชาชนชาวทิเบตทางตะวันตก และจากชาวมองโกเลียเดิมทางเหนือ.... ซึ่งบันทึกนี้แสดงให้เห็นว่า ก่อนที่จีนจะเข้าไปครอบครองแผ่นดินจีน (ปัจจุบัน)เดิมดินแดนนี้นั้นอยู่ในอำนาจการปกครองของชน 3 เผ่า คือ ไทย ทิเบต และมองโกเลีย ซึ่งในจำนวนชน3เผ่านี้...ไทย เป็นเผ่าที่มีอำนาจากสุดและกษัตริย์ไทยในสมัยนั้น"พระเจ้าเหา"ยังเป็นที่ยอมรับของชาวจีนให้เป็นกษัตริย์ของจีนด้วย จากการที่ชาวจีนได้อพยบเข้ามาในดินแดนดังกล่าวเป็นจำนวนมาก เป็นเหตุให้ชาวไทยซึ่งมีกำลังคนที่น้อยกว่าจำต้องถอยร่นลงมาทางใต้ ทั้งนีไม่หมายความว่าชาวไทยไม่มีความสามารถในการศึกสงคราม และมีชาวไทยบางกลุ่ม เห็นว่าชาวจีนมีกำลังพลและสร้างอำนาจมากขึ้น ก็แยกตัวออกจากฝ่ายชาวไทย ไปเข้าร่วมกับฝ่ายจีน โดยยอมรับในวัฒนธรรมของจีน นับแต่จากการแต่งกาย ใช้ภาษาจีน เหยียดภาษาไทย ซึ่งในที่สุดภาษาไทยต้องถูกชาวจีนกลืนหมด ซึ่งเมื่อชาวไทยไม่สามารถที่จะใช้ภาษาไทยได้ ใช้แต่ภาษาจีน ภาษาไทยจึงเลือนหายไปโดยสิ้นเชิงแต่ถึงจะอย่างไร ณ กาลปัจจุบัน ก็ยังมีชาวไทยที่ใช้ภาษาไทย ภาคภูมิในความเป็นไทย ยังตั้งหลักปักฐานอยู่ในแผ่นดินจีน (ปัจจุบัน) อีกหลายสิบล้านคน แต่ถึงจะอย่างไรหากชาวไทยไม่ใช้ภาษาไทย ความเป็นไทยก็จะต้องถูกกลืนไป เฉกเช่นชาวจีนที่มาอาศัยอยู่ในประเทศไทย หากใช้แต่ภาษาไทยซึ่งก็คงจะไม่นานนักที่ภาษาจีนก็จะต้องถูกกลืนไปได้เช่นกัน ตัวอย่าง..กรณีชาวไทยที่อยู่กันคนละถิ่น การเรียกชื่อชาวไทยก็มักจะแตกต่างกันออกไปเช่น คนไทยที่อยู่ในรัฐฉาน มี ไทยลื้อ ไทยใหญ่ ไทยเขิน ไทยยอง ในอินเดีย มี ไทยคำตี่ ไทยรง ไทยโนรา ไทยอาหมและไทยอ้ายตน ที่อยู่ในเวียดนาม มี ไทยดำ ไทยขาว ไทยโห้ ไทยนุง ในลาว มี ไทยลาว ไทยพวย ผู้ไทย ไทยย้อ ไทยดำ ในเขมร มี ไทยลาวเป็นส่วนใหญ่ ส่วนมาเลเซีย มี ไทยปักษ์ใต้ สำหรับชาวไทยในประเทศไทย มี ไทยสยาม และยังมีอีกหลายๆไทย ที่มีชื่อเรียกต่างกันออกไปอีก แต่ต่างก็เป็น"ชาวไทย"ด้วยกัน ใช้ภาษาที่คล้ายคลึงกัน สื่อสารกันได้ อีกยังมีวัฒนธรรมและประเพณีที่คล้ายกันอีกด้วย.. นั่นคือ"สัญญลักษณ์"ของความเป็นไทย อันเกี่ยวกับเรื่องราวความเป็นมาของชนชาติไทยนั้น นับแต่โบราณกาลมาถึงปัจจุบัน ถือเป็นเรื่องที่ชาวไทยทุกคนจะต้องภูมิใจในบรรพกษัตริย์ และบรรดาเหล่าบรรพบุรุษที่พลีชีวิต ร่วมก่อตั้งกลุ่มชนจนเป็นปึกแผ่นสร้างบ้านแปงเมืองจนกลายมาเป็นอาณาจักรใหญ่คือ "ราชอาณาจักรไทย"และกลายเป็น"ประเทศไทย"ในปัจจุบัน อีกทั้งยังคงครองความเป็น "ไทย" มาโดยตลอด อนึ่ง..ยังมีข้อความที่ปรากฏอยู่ในตำนานจีนเกี่ยวกับดินแดนบริเวณลุ่มม่นำ้หว้าย ว่าเมื่อ 25 ศตวรรษก่อนพุทธกาล "ไทยก๊ก"คือ "ไทยประเทศ" แต่บ้างก็เรียกกันว่า "อู่ไทย"อาศัยภูเขากี้เป็นหลักเมือง กษัตริย์คือ"ไท้เหา"(ไท้ แปลว่า ใหญ่หลวง เหา แปลว่า ท้องฟ้า) ครองแผ่นดินเมื่อมีพระชนมายุแค่เพียง 16 พรรษา ทรงรอบรู้วิชาพยากรณ์ดินฟ้าอากาศ เป็นที่เคารพของราษฎร แต่ต่อมาได้ย้ายราชธานีไปตั้งใหม่ ณ ตำบลอ่อนคู้ เลยปากแม่นำ้หว้าย ทะลุแม่นำ้เหลืองไปทางทิศตะวันออก ตำนานจีนเดียวกันนี้ยังได้ระบุอีกว่า ก่อนพุทธกาล 2500 ปี "ไทยก๊ก" นั้นก็คือ"ประเทศไทย"มีพ่อบ้านพ่อเมืองปกครองอยู่ก่อนแล้ว กาลนั้น ได้มีเจ้าหญิงอู่ไทยองค์หนึ่ง พาบริวารไปเที่ยวเล่นในป่าบังเอิญพบ"รอยเท้า"ของคนซึ่งมีขนาดใหญ่มาก นางจึงใช้เท้าทั้งสองข้างของนางลงไปเทียบกับรอยเท้านั้น ก็ได้เกิดเหตุมหัศจรรย์เป็นสายรุ้งพันรอบตัวนาง ทำให้นางต้องเสียวซ่านไปทั่ววรกาย ครั้นเมื่อกลับจากการเที่ยวเล่นในป่าแล้วก็ตั้งครรภ์ขึ้นมา เป็นเวลา 16 เดือนจึงคลอดบุตรเป็นชาย ซึ่งเมื่อเติบโตขึ้นก็กลายเป็นหนุ่มรูปงาม ล่ำสัน มากด้วยพลกำลัง เฉลียวฉลาด ไหวพริบปฏิภาณว่องไว เรียนรู้วิชาพยากรณ์ดินฟ้าอากาศ เป็นที่นิยมของราษฎรโดยทั่วไป ครั้นอายุได้ 36 ปี ก็ถูกยกให้เป็นพ่อเมืองมีชื่อว่า"พ่อขุนไท้เหา"แต่หาได้มีโอรสหรือธิดาแต่อย่างใด นั่นคือประวัติและความเป็นมาของ"พระเจ้าเหา" ที่เรียกขานกันมาแต่กาลอดีต ณ กาลปัจจุบัน ก็ยังไม่มีความชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องของ"พระเจ้าเหา"ที่กล่าวถึงและจะใช่บุคคลเดียวกับ"พระเจ้าเสียวเหา"และหรือ"พ่อขุนไท้เหา"หรือไม่?.. ฤาเรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องขานตามตำนานที่เล่าสืบทอดกันมา ขอขอบคุณท่านผู้เป็นเจ้าของเครดิตภาพที่ผู้เขียนได้นำมาจาก (อินเตอร์เน็ต)เพื่อใช้ในการแสดงประกอบเนื้อหาสาระข้อมูลนี้ค่ะ..และขอขอบคุณแหล่งที่มาของภาพและข้อมูลจาก:วิกิพีเดีย, ข้อมูล....บางคอนจากบทความสารคดีเชิงศาสนา ปรัชญา และประวัติศาสตร์ โดย ศ.(พิเศษ)จำนงค์ ทองประเสริฐ..ลิขิต ฮุนตระกูล,และข้อมูลเพิ่มเติม(บางส่วน)จาก : อินเตอร์เน็ตค่ะ ขอบคุณข้อมูลจาก : พัชรพิศุทธิ์ โชติกา พิรักษา และ ศศิภา ศรีจันทร์ ตันสิทธิ์ เฟสบุ๊ค รุ่งโคราช