Home »
Uncategories »
เลิกดื่มก่อนสาย! แพทย์ยืนยัน เสี่ยงกระดูกพรุนและเป็นอัมพาตทั้งตัว ถ้าร่างกายยังรับสิ่งนี้เข้าไปทุกวัน!!
เลิกดื่มก่อนสาย! แพทย์ยืนยัน เสี่ยงกระดูกพรุนและเป็นอัมพาตทั้งตัว ถ้าร่างกายยังรับสิ่งนี้เข้าไปทุกวัน!!
เลิกดื่มก่อนสาย! แพทย์ยืนยัน เสี่ยงกระดูกพรุนและเป็นอัมพาตทั้งตัว ถ้าร่างกายยังรับสิ่งนี้เข้าไปทุกวัน!!
นายหวัง ชายจีน อายุ 53 ปี
เมื่อไม่นานมานี้ขณะกำลังเงยหัวดื่มน้ำอัดลมรสโคล่าเกิดเป็นอัมพาตกระทันหัน
แขนขาไม่มีเรี่ยวแรง หลังรับการผ่าตัดหมอให้พักผ่อนครึ่งปี
ถึงจะสามารถเดินได้ปกติ คุณหมอระบุว่าเป็น
“โรคเส้นประสาทไขสันหลังส่วนคอเสื่อม” เป็นโรคที่ร้ายแรงชนิดหนึ่ง
สาเหตุที่แท้จริงคือ นายหวังได้ดื่มเครื่องดื่มอัดลมแทนน้ำ
ทำให้เป็นโรคกระดูกพรุนรุนแรง
นายหวังเป็นคนชอบดื่มเครื่องดื่มอัดลมมาก
โดยเฉพาะน้ำอัดลมรสโคล่าที่ดื่ม 2 กระป๋องมาตลอด 20 ปี นายหวังได้กล่าวว่า
“วันนั้นนั่งคุยกับเพื่อน หลังจากนั้นก็ยกน้ำอัดลมรสโคล่าเงยหัวขึ้นดื่ม
หลังจากนั้นก็รู้สึกผิดปกติ” เมื่อดื่มเข้าไปแล้ว
นายหวังรู้สึกแน่นหน้าอกอยากอาเจียน
และร่างกายไม่สามารถควบคุมได้ล้มลงกับพื้น และไม่รู้สึกอะไรแล้วหลังจากนั้น
การดื่มเครื่องดื่มอัดลมจำนวนมาก
จะทำให้มีผลกระทบไม่ดีต่อร่างกายอย่างมาก
ส่งผลให้เป็นโรคกระดูกพรุนนายหวังถูกเพื่อนนำส่งโรงพยาบาลโดยทันที
หลังจากตรวจเช็คแล้วพบว่า กระดูกสันหลังบริเวณคอสั่น ทำให้สมองมีเลือดออก
หมอกระดูกยังบอกอีกว่า “เมื่อกี้ตรวจเช็คแล้วขาทั้งสอข้างไม่สามารถขยับได้
มีเพียงแค่แขนสองข้างที่สามารถยกขึ้นมาได้นิดหน่อย” หลังเอ็กซเรย์พบว่า
กระดูกที่คอบางจุดหัก มีความเสี่ยงที่จะเป็นอัมพาตทั้งตัวสูงมาก
ต้องผ่าตัดโดยด่วน
คุณหมอยังกล่าวอีกว่า
การเงยหัวบ่อยๆไม่ได้ทำให้มีอาการเหล่านี้ได้
แต่เนื่องจากนายหวังดื่มน้ำอัดลมบ่อยๆ จึงทำให้กระดูกและเส้นเอ็นค่อยๆชา
และคลายออกจากแกนกลาง จนทำให้เป็น
“โรคเส้นประสาทไขสันหลังส่วนคอเสื่อมในเครื่องดื่มประเภทนี้มีส่วนประกอบของปริมาณน้ำตาลมาก
เมื่อดื่มเป็นเวลานานจะทำให้ “ขาดโพแทสเซียม”
จะทำให้ร่างกายไม่มีเรี่ยวแรง
นายหวังกล่าวว่ามีอาการขาชามาก่อนหน้านี้แล้ว
เวลาเหมือนเดินเหมือนเดินบนฟองนิ่มๆ จากนั้นมือเริ่มชา หมอยังกล่างอีกว่า
สิ่งที่นายหวังพูดมาเป็นอาการเริ่มที่ที่สังเกตได้
เมื่อมีอาการเหล่านี้ต้องรีบไปพบแพทย์ทันที ไม่อย่างนั้นอาจสายเกินไปก็ได้
น้ำอัดลม ทำให้กระดูกพรุนได้จริงหรือ ?
น้ำอัดลมเป็นอาหารยอดนิยมของคนทั่วโลก
เพราะมีรสชาติที่อร่อย ดื่มแล้วสดชื่น รู้สึกมีความสุข
และช่วยเพิ่มรสชาติให้กับมื้ออาหารอย่างที่เราปฏิเสธไม่ได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งน้ำอัดลมที่มีสีดำอย่าง เช่น น้ำอัดลมรสโคล่า
ที่พบเห็นได้ในทุกเมนูอาหารตามร้านอาหารฟาสต์ฟู้ด (เพิ่มอีก 5
บาทได้แก้วใหญ่กินกันจนท้องอืด)
รสชาติที่ดีของน้ำอัดลมทำให้มีคนจำนวนมากสั่งน้ำประเภทนี้ดื่มกันเป็นประจำและเป็นปกติ
จนลืมไปว่าน้ำอัดลมก็มีโทษต่อร่างกายในหลายแง่มุม
ตั้งแต่เรื่องความอ้วนไปจนถึงโรคกระดูกพรุน
โรคกระดูกพรุน หมายถึง
โรคที่มวลกระดูกของร่างกายลดต่ำกว่าค่ามวลกระดูกมาตรฐานซึ่งเรียกว่า
ค่าทีสกอร์ (ค่า T- score ในคนปกติคือ ไม่ต่ำกว่า 1) ตั้งแต่ -2.5
ของค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (ค่าเอสดี หรือ SD, Standard deviation) ขึ้นไป
หรือทางแพทย์ใช้เขียนเป็นตัวเลขตั้งแต่ -2.5 เอสดีขึ้นไป
ส่วนผสมที่เป็นโทษในน้ำอัดลม
1. น้ำตาล
เป็นส่วนผสมยอดนิยมในอาหารและเครื่องดื่มทุกชนิด
มีหน้าช่วยให้ความหวานทานแล้วรู้สึกดี
ซึ่งการผสมน้ำตาลลงในอาหารในสมัยก่อนจะเป็นน้ำตาลจากธรรมชาติ เช่น
น้ำตาลโตนด น้ำตาลมะพร้าว และเปลี่ยนมาเป็นน้ำตาลทรายที่ผลิตจากอ้อย
จนมาถึงในยุคปัจจุบันที่การใช้น้ำตาลในรูปแบบของเหลวหรือไซรัปได้รับความนิยมสูงสุด
เพราะราคาถูกกว่าน้ำตาลทรายและให้ความหวานได้มากกว่า
ท่านจะสังเกตเห็นได้ตามร้านกาแฟต่างๆที่ไม่เซิร์ฟน้ำตาลทรายสำหรับใส่กาแฟแล้ว
แต่จะเซิร์ฟเป็นไซรัปแทน หรือไม่ก็ขนมจำพวกเบเกอรี่ที่หันมาใช้ไซรัป
รวมถึงน้ำอัดลม ที่เรากำลังพูดถึงตอนนี้ด้วย
น้ำตาลเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ เช่น
ช่วยทำให้อาหารและเครื่องดื่มมีรสชาติดี ให้พลังงานกับร่างกาย
ทานแล้วทำให้รู้สึกสดชื่น
แต่ต้องอยู่ในปริมาณที่พอเหมาะพอดีกับความต้องการของร่างกาย
การบริโภคน้ำตาลของคนในยุคปัจจุบันเป็นไปอย่างพร่ำเพรื่อไม่ค่อยได้คำนึงถึงสุขภาพกันมากนัก
เนื่องจากยุคสมัยที่เปลี่ยนไปพฤติกรรมการบริโภคของคนก็เปลี่ยนไป
โดยคนส่วนใหญ่หันมาบริโภคอาหารแปรรูป (น้ำอัดลมก็เป็นอาหารแปรรูปชนิดหนึ่ง)
ที่มีส่วนผสมของน้ำตาลกันมากขึ้น
เพราะรสหวานเป็นรสชาติที่ทำให้คนเรามีความสุขและติดได้ง่าย
รวมถึงความสะดวกในการซื้อหามาบริโภค อร่อยและราคาถูกด้วย
ในน้ำอัดลมเกือบทุกชนิดมีส่วนผสมของน้ำตาลจำนวนมาก
ไม่ว่าจะเป็นน้ำตาลทรายหรือไซรัป
ทำให้ผู้ที่นิยมรับประทานน้ำอัดลมมีโอกาสได้รับปริมาณน้ำตาลมากเกินความจำเป็น
ซึ่งอะไรที่เกินความจำเป็นหรือขาดความพอดีมักจะมีโทษตามมาภายหลังเสมอ
น้ำตาลก็เช่นเดียวกัน แม้จะมีประโยชน์ในหลายแง่มุม
แต่ถ้าหากบริโภคเกินพอดีย่อมทำให้เกิดผลเสียดังต่อไปนี้
ข้อเสีย
ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มได้ง่าย ทานมากเกินไปแล้วเป็นโรคอ้วน
ทำให้ป่วยเป็นโรคที่เกี่ยวกับระบบเผาผลาญ เช่น โรคเบาหวาน
ทำให้ป่วยเป็นโรคหัวใจและไขมันอุดตันเส้นเลือด
ทำให้ฟันผุ
2. คาเฟอีน
คาเฟอีนเป็นส่วนผสมที่พบได้ทั่วไปในน้ำอัดลมหลายชนิด
โดยเฉพาะ น้ำอัดลมรสโคล่า(เครื่องดื่มน้ำดำ) และพบได้ในชา กาแฟ ช็อกโกแลต
และเครื่องดื่มชูกำลัง คาเฟอีนเป็นสารที่พบได้ในธรรมชาติ
และสามารถสังเคราะห์ขึ้นได้ในห้องแลป
ปริมาณคาเฟอีนที่บริโภคได้ต่อวัน คือ
น้อยกว่า 400 มิลลิกรัมต่อวัน หรือกาแฟทั่วไปไม่เกิน 4 แก้ว
คาเฟอีนเป็นสารที่มีประโยชน์ คือ ช่วยให้ร่างกายสดชื่นตื่นตัว
ลดความเหนื่อยล้า ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดและหัวใจ
ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคเบาหวาน
และช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงานในร่างกาย อย่างไรก็ตาม
คาเฟอีนเองก็มีโทษเช่นกัน คือ ทำให้เกิดอารมณ์วิตกกังวล เพิ่มความดันโลหิต
และกระตุ้นให้ร่างกายปัสสาวะบ่อยขึ้น
หากร่างกายได้รับคาเฟอีนมากเกินไป
จะมีผลเสียที่ได้รับต่ออวัยวะหลายส่วน ตั้งแต่สมอง หัวใจ กล้ามเนื้อ หู ปอด
กระเพาะอาหารและไต ในรูปแบบของอาการต่างๆกันไป
รวมถึงมีส่วนเกี่ยวข้องกับการสูญเสียมวลกระดูกและอาจเพิ่มความเสี่ยงที่จะทำให้เป็นโรคกระดูกพรุนได้หากได้รับคาเฟอีนมากเกินไปในระยะยาว
3. กรดฟอสฟอริก
เป็นกรดสังเคราะห์ที่มีลักษณะใส ไม่มีสี
ไม่มีกลิ่น ที่มักจะใส่ในเครื่องดื่มอัดลม เช่นน้ำอัดลมรสโคล่า
เพื่อทำให้มีรสเปรี้ยวและความรู้สึกซ่าๆในปาก เวลาดื่มแล้วสดชื่น
น้ำอัดลมมีความเป็นกรดมากกว่าน้ำมะนาวและน้ำส้มสายชูเนื่องจากส่วนผสมของกรดฟอสฟอริกนั่นเอง
กรดฟอสฟอริกเป็นกรดที่ถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมอย่างกว้างขวาง
รวมถึงการกำจัดสนิมออกจากโลหะ
หลายท่านอาจเคยได้ยินข่าวการทดลองนำน้ำอัดลมยี่ห้อดังมาล้างสนิม
และมีการแสดงให้เห็นว่าล้างสนิมได้จริง
เพียงแต่ต้องมีการขัดที่ตัวโลหะที่มีสนิมด้วย อย่างไรก็ตาม
หากท่านยังสงสัยข้อมูลเรื่องนี้
ผู้เขียนแนะนำให้ลองซื้อน้ำอัดลมยี่ห้อดังที่เป็นสีดำมาทดลองขัดสนิมที่บ้านดูก็ได้
แล้วท่านอาจจะต้องตกตะลึงกับผลที่ได้ครับ
การบริโภคน้ำอัดลมที่มีส่วนผสมของกรดฟอสฟอริกแม้เพียงปริมาณน้อยก็ทำให้เกิดโรคฟันผุได้
นอกจากนี้น้ำอัดลมยังมีส่วนเกี่ยวข้องที่ทำให้เกิดโรคไตเรื้อรัง นิ่วในไต
รวมถึงทำให้ความหนาแน่นของมวลกระดูกลดลงหรือจะกล่าวว่า
มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดโรคกระดูกบางและโรคกระดูกพรุนได้ด้วย
4. สารให้ความหวานแทนน้ำตาล
มีอยู่หลากหลายชนิดมาก
ทำหน้าที่ให้ความหวานแทนน้ำตาลทั่วไป ได้แก่ แซคคาริน แอสปาแทม นีโอเทม
อะซีซัลเฟม-เค ไซคลาเมต เป็นต้น
สารให้ความหวานแต่ละชนิดมีคุณสมบัติเฉพาะตัว
ทั้งการละลายน้ำและรสชาติหวานที่แตกต่าง (บางชนิดมีรสขมเล็กน้อย
บางชนิดมีกลิ่นโลหะ)
รวมถึงความหวานที่มากน้อยแตกต่างกันเมื่อเทียบกับน้ำตาลปกติ
สารให้ความหวานแทนน้ำตาลมีการใช้อย่างแพร่หลายเนื่องจากเหตุผลดังต่อไปนี้
ช่วยในการลดน้ำหนัก เพราะเชื่อว่าการทานสารให้ความหวานทดแทน จะช่วยลดแคลอรี่หรือลดพลังงานที่ร่างกายได้รับน้อยกว่าการทานน้ำตาลปกติ
ช่วยป้องกันฟันผุ สารให้ความหวานทดแทนไม่ทำให้ฟันผุ
ใช้สำหรับผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน
ผู้ที่ป่วยด้วยโรคเบาหวานจะมีปัญหาเรื่องของการดื้อต่ออินซูลิน
ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงหลังจากทานอาหารอิ่ม
(โดยปกติแล้วอินซูลินจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง
โดยทำให้น้ำตาลถูกดูดซึมเข้าสู่เซลล์
คนที่เป็นเบาหวานถึงแม้จะมีอินซูลินหลั่งออกมา
แต่ระดับน้ำตาลในเลือดจะไม่ค่อยลดหรือลดน้อย
ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดยังสูงอยู่)
ใช้สำหรับผู้ที่มีปัญหาภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ
เนื่องจากความผิดปกติของการหลั่งอินซูลินมากเกินไปหลังรับประทานอาหาร
ส่งผลให้น้ำตาลในเลือดต่ำกว่าค่าปกติ
สารให้ความหวานทดแทนมีราคาถูกกว่าน้ำตาลปกติ
ทำให้ลดต้นทุนในการผลิตสินค้าที่มีรสหวานได้ในธุรกิจการทำน้ำอัดลม
สารให้ความหวานแทนน้ำตาลมักจะผสมอยู่ในน้ำอัดลมที่โฆษณาว่า
“แคลอรี่เป็นศูนย์” หรือ “พลังงานต่ำ” กล่าวคือ
พลังงานที่ร่างกายจะได้รับจากการทานน้ำอัดลมจะน้อยมากเมื่อเทียบกับสูตรปกติที่ใช้น้ำตาลหรือไซรัปเป็นส่วนผสมถึงแม้ว่าสารให้ความหวานแทนน้ำตาลจะมีประโยชน์มากมายในความเข้าใจของคนบางส่วน
ในทางตรงข้าม
ก็มีนักวิทยาศาสตร์อีกส่วนหนึ่งที่ทำการทดลองแล้วแสดงผลการทดลองออกมาว่า
สารให้ความหวานแทนน้ำตาลมีโทษดังต่อไปนี้
มีแนวโน้มที่จะเป็นสารก่อมะเร็งเพราะผลิตจากการสังเคราะห์ด้วยสารเคมีในห้องแลป
สารให้ความหวานทดแทนน้ำตาลไม่ได้ช่วยในการลดน้ำหนัก
แต่กลับทำให้น้ำหนักขึ้น เพราะจะทำให้ร่างกายต้องการอาหารมากขึ้น
ท่านจะทานมากขึ้นในมื้อถัดไป จากการทดลองทั้งในหนูและคน
สารให้ความหวานทดแทนน้ำตาลทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น
ผ่านกระบวนการปรับเปลี่ยนสัดส่วนและการทำงานของแบคทีเรียในลำไส้
ส่วนตัวแล้วถ้าผู้เขียนเลือกได้
จะเลือกทานน้ำตาลปกติมากกว่าสารทดแทนความหวาน
เพราะมีความเป็นธรรมชาติมากกว่า แต่จะจำกัดให้มีปริมาณที่เหมาะสม
5. สีและกลิ่น
สีในน้ำอัดลมทำให้ผลิตภัณฑ์ดูดี สะดุดตา
มองเห็นได้ง่ายและน่ารับประทาน
ส่วนกลิ่นก็เป็นส่วนเสริมที่ช่วยให้รสชาติอาหารดีขึ้นหรือช่วยให้อร่อยนั่นเอง
ในทางสุขภาพแล้ว สีและกลิ่นเหล่านี้ไม่ได้มีประโยชน์อันใดต่อร่างกายเลย
พอร่างกายของเราได้รับสีและกลิ่นเหล่านี้เข้าไป สิ่งที่เกิดขึ้น คือ
ร่างกายต้องอาศัยอวัยวะ คือ ตับและไต ในการกำจัดสารเคมีเหล่านี้ออกไป
ดังนั้น ยิ่งทานน้ำอัดลมมากเท่าไร
ตับและไตของเราก็ต้องทำงานหนักมากเท่านั้น!
น้ำอัดลมเกี่ยวข้องกับโรคกระดูกพรุนอย่างไร ?
สารที่มีความเกี่ยวข้องกับโรคกระดูกพรุนในน้ำอัดลมจะมีอยู่
2 ชนิด คือ กรดฟอสฟอริกและคาเฟอีน ซึ่งมีแน่นอนในน้ำอัดลมที่เป็นสีดำ
(แต่มีในน้ำอัดลมสีอื่นไหม อันนี้ขึ้นอยู่กับส่วนผสมของผู้ผลิตแต่ละยี่ห้อ)
ในส่วนของกรดฟอสฟอริกกับโรคกระดูกพรุน มีผลงานวิจัยออกมา 2 รูปแบบ
ส่วนหนึ่งแสดงผลแบบแบ่งรับแบ่งสู้ว่า
“ไม่มีหลักฐานหรือผลการทดลองที่แน่ชัดว่ากรดฟอสฟอริกมีผลทำให้ร่างกายสูญเสียมวลกระดูกหากเราได้รับอาหารที่มีแคลเซียมมากเพียงพอ”
ในอีกส่วนหนึ่งก็มีผลการวิจัยออกมาว่า
“การดื่มน้ำอัดลมที่มีส่วนผสมของกรดฟอสฟอริก จะส่งผลให้ฮอร์โมนพาราไทรอยด์
(PTH) หลั่งออกมามากขึ้น
ซึ่งการหลั่งของฮอร์โมนพาราไทรอยด์ที่มากเกินไปมีผลต่อการสูญเสียแคลเซียมหรือมวลกระดูก”
ในส่วนข้อ 2 เราจะไม่พูดถึงเพราะผลการทดลองชัดเจนอยู่แล้วว่ากรดฟอสฟอริกมีผลทำให้เกิดโรคกระดูกพรุน
แต่เราจะมาวิเคราะห์ผลการทดลองในส่วนที่ยังไม่มีความแน่ชัดในข้อ 1 กัน
การดื่มน้ำอัดลมทำให้ร่างกายได้รับกรดฟอสฟอริกเข้าไปหรือได้รับฟอสฟอรัสเข้าสู่ร่างกาย
กระดูกของคนเราส่วนใหญ่มีแคลเซียมเป็นส่วนประกอบ
แต่ก็มีฟอสฟอรัสเป็นส่วนประกอบด้วยเช่นกัน
กระดูกจะแข็งแรงได้ร่างกายต้องได้รับเกลือแร่ทั้งสองชนิดในอัตราที่สมดุล
นั่นหมายความว่า แคลเซียมกับฟอสฟอรัสต้องไม่มากหรือไม่น้อยเกินไป
ถ้าร่างกายได้รับฟอสฟอรัสมากเกินไปจะไปขัดขวางการดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่ร่างกาย ทำให้เกิดโรคกระดูกบางและกระดูกพรุนได้
ถ้าร่างกายได้รับแคลเซียมมากเกินไป จะไปขัดขวางการดูดซึมฟอสฟอรัสเข้าสู่ร่างกาย ทำให้การสร้างมวลกระดูกไม่ดีเท่าที่ควร
ดังนั้น อัตราส่วนของแคลเซียมต่อฟอสฟอรัสที่ร่างกายได้รับมีความสำคัญต่อความแข็งแรงของกระดูกมาก!
โดยส่วนใหญ่คนเราจะได้รับฟอสฟอรัสผ่านทางอาหารอย่างเพียงพอ
เพราะอาหารที่คนเราทานกันเป็นประจำมักจะมีฟอสฟอรัสอยู่ในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายอยู่แล้ว
ยกตัวอย่างเช่น
ไข่
เนื้อหมู
เต้าหู้
ถั่ว
เมล็ดฟักทอง
ชีส
ปลาทะเล
หรือจะพูดง่ายว่า ฟอสฟอรัส
มีอยู่ในอาหารทั่วไปที่คนเราทานกันเป็นประจำ
ร่างกายของเราจึงไม่ขาดฟอสฟอรัสนั่นเอง! หรือถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่า
เราจะหาอาหารเสริมฟอสฟอรัสตามท้องตลาดยากมาก
ไม่ค่อยมีบริษัทไหนผลิตออกมาจำหน่าย
เพราะคนปกติส่วนใหญ่ได้รับฟอสฟอรัสกันเพียงพออยู่แล้ว
หรือถ้ามีก็จะเป็นในลักษณะของอาหารเสริมเกลือแร่ชนิดอื่นที่มีฟอสฟอรัสผสมอยู่ด้วย
ถ้าท่านไม่เชื่อลองค้นดูใน Google หรือถามตามร้านขายยาดูก็ได้ครับ
การดื่มน้ำอัดลมเป็นการเพิ่มฟอสฟอรัสเข้าสู่ร่างกาย
ผู้เขียนตั้งคำถามว่า
หากวันหนึ่งๆท่านได้รับฟอสฟอรัสในปริมาณที่เพียงพอจากอาหารแล้ว
การดื่มน้ำอัดลมเพิ่มเข้าไปจะทำให้อัตราส่วนของแคลเซียมต่อฟอสฟอรัสเป็นอย่างไร
? สมมุติว่าท่านได้รับแคลเซียมเพียงพอต่อวันแล้ว
แน่นอนว่าสิ่งที่พอจะบอกได้คร่าวๆคือ
อัตราส่วนของแคลเซียมต่อฟอสฟอรัสไม่สมดุล
ร่างกายของเราอาจได้รับฟอสฟอรัสมากเกินไป
และจะไปขัดขวางการดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่ร่างกาย
ส่งผลให้เกิดการสูญเสียมวลกระดูกและอาจป่วยเป็นโรคกระดูกพรุนได้
ดังนั้น สำหรับผลงานวิจัยที่บอกว่า
“ไม่มีหลักฐานหรือผลการทดลองที่แน่ชัดว่ากรดฟอสฟอริกมีผลทำให้ร่างกายสูญเสียมวลกระดูกหากเราได้รับอาหารที่มีแคลเซียมมากเพียงพอ”
ก็คงเป็นความจริงในลักษณะที่มีเงื่อนไข เพราะตรงประโยคที่ว่า
“หากเราได้รับแคลเซียมมากเพียงพอ”
นั้นเป็นเงื่อนไขสำคัญที่จะทำให้กระดูกของเราแข็งแรงหรืออ่อนแอ
และหมายความว่า ถ้าร่างกายเราได้รับฟอสฟอรัสที่มากขึ้น
เราจำเป็นต้องได้รับแคลเซียมในปริมาณที่มากขึ้นเช่นกัน
จึงจะทำให้อัตราส่วนของแคลเซียมและฟอสฟอรัสอยู่ในระดับที่พอดีหรือสมดุลได้
ในส่วนของคาเฟอีน
มีผลงานวิจัยหลายชิ้นที่สนับสนุนและให้ผลที่ตรงกันว่า
การบริโภคคาเฟอีนในปริมาณที่มากเกินไป
มีผลทำให้สูญเสียมวลกระดูกและรายละเอียดเพิ่มเติม อ่าน
คาเฟอีนกับโรคกระดูกพรุน ?
สรุป
การดื่มน้ำอัดลมที่มีส่วนผสมของกรดฟอสฟอริกและคาเฟอีน
(โดยส่วนใหญ่จะเป็นน้ำอัดลมสีดำ)
มีผลต่อการสูญเสียแคลเซียมและมวลกระดูกของร่างกาย
และอาจส่งผลให้ป่วยเป็นโรคกระดูกบางและโรคกระดูกพรุนได้
น้ำอัดลมไม่มีประโยชน์ต่อสุขภาพเลย
จริงๆแล้วผู้เขียนถือว่าเป็นอาหารที่ทานเอาความอร่อยและความพึงพอใจเท่านั้น
การบริโภคจึงควรจำกัดในปริมาณที่พอดี และไม่ทานบ่อยจนเป็นนิสัย
เพราะนอกจากความเสี่ยงเรื่องกระดูกพรุนแล้ว
น้ำอัดลมยังมีส่วนผสมของน้ำตาลที่ทำให้เป็นโรคน้ำหนักเกินมาตราฐานหรือโรคอ้วน
ฟันผุ โรคหลอดเลือดและหัวใจ และโรคเบาหวาน
และส่วนผสมของสีและกลิ่นทีทำให้ร่างกายต้องทำงานหน้กในการกำจัดออก แนะนำว่า
ถ้าเลี่ยงการดื่มได้ก็ควรเลี่ยงหันมาดื่มน้ำเปล่ากันจะดีต่อสุขภาพมากกว่าครับ
น้ำอัดลมมีความเสี่ยงทำให้เกิดกระดูกพรุนครับ
ขอบคุณ fangnapost, chicvariety