เรื่องที่ต้องรู้ ! ก่อนส่งพัสดุและเอกสารผ่านไปรษณีย์ไทย

ถึงแม้ว่าโลกของเราจะมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยมากขึ้นอย่างไร แต่ก็ยังนับว่าการส่งจดหมาย หรือส่งพัสดุไปยังผู้รับก็ยังมีความสำคัญอยู่อย่างต่อเนื่อง นั่นอาจเป็นเพราะมีความสะดวกมากกว่า และบางครั้งเทคโนโลยีก็ยังไม่สามารถตอบสนองในสิ่งที่มนุษย์ต้องการได้อย่างการส่งจดหมายและพัสดุในบ้านเราก็มีผู้ให้บริการอย่าง ไปรษณีย์ไทย ที่คอยอำนวยความสะดวกในด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการรับ – ส่งจดหมาย เอกสาร รวมถึงพัสดุน้อยใหญ่ต่างๆ แต่บางคนก็ยังคงเกิดความสงสัยว่าถ้าอยากจะส่งจดหมาย หรือพัสดุบ้างจะต้องเลือกใช้บริการใด แล้วกติการในการจัดส่งเป็นอย่างไร วันนี้ Sanook Money ได้รวบรวมข้อมูลที่น่าสนใจจาก ไปรษณีย์ไทย มาฝากกัน
บริการไปรษณีย์ธรรมดา


สำหรับการส่งไปรษณีย์แบบธรรมดา สามารถจำแนกออกได้เป็น 3 รูปแบบ คือ เอกสาร/สิ่งของน้ำหนักไม่เกิน 2 กิโลกรัม , โปสการ์ด/ไปรษณียบัตร และสิ่งตีพิมพ์
เอกสาร/สิ่งของน้ำหนักไม่เกิน 2 กิโลกรัม

สำหรับการรับ – ส่งสิ่งของ สินค้า ตลอดจนเอกสารต่างๆ ที่มีการบรรจุใส่ซอง หรือมีกล่องที่ปิดสนิท สามารถส่งได้ผ่านบริการจดหมายที่จะคิดค่าบริการตามน้ำหนัก ซึ่งจะเริ่มต้นที่น้ำหนักไม่เกิน 20 กิโลกรัม มีค่าบริการ 3 บาท

โปสการ์ด/ไปรษณียบัตร
สำหรับการส่งภาพ หรือข้อความบนกระดาษที่มีน้ำหนักไม่น้อยกว่า 180 กรัม/ตารางเมตร (180 แกรม) ในลักษณะที่ไม่เป็นความลับ มีพื้นที่ส่วนขวาด้านหน้าไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งไว้สำหรับการจ่าหน้าและติดดวงตราไปรษณียากร สามารถส่งได้ทันทีโดยไม่ต้องใส่ซองผ่านบริการไปรษณียบัตร (Postcard) มีขนาดไม่เกิน 10.5 x 14.8 ซม. น้ำหนักไม่เกิน 5 กรัม คิดค่าบริการอัตราเดียว 2 บาท หากเกินกว่าที่กำหนดจะคิดค่าบริการตามอัตราของการส่งจดหมาย

สิ่งตีพิมพ์
ในส่วนของการส่งเอกสารที่ทำขึ้นแบบหลายสำเนา อาทิ หนังสือ นิตยสาร วารสาร หรือหนังสือพิมพ์ ห้ามบรรจุสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งพิมพ์ลงในซองเดียวกัน ยกตัวอย่าง คือ ตัวอย่างสินค้า กระดาษเปล่า หรือสมุดบันทึก ส่วนสิ่งพิมพ์ ตลอดจนชิ้นส่วนเพื่อการชิงโชค ไม่รวม วัตถุบันทึกเสียง หรือบันทึกภาพที่ใช้ร่วมกับสิ่งพิมพ์เล่มนั้นผ่านบริการของตีพิมพ์ Printed Matter คิดค่าบริการตามน้ำหนักไม่เกิน 50 กรัม ค่าบริการ 3 บาท

บริการไปรษณีย์แบบมีหลักฐาน
การส่งไปรษณีย์แบบมีหลักฐาน Registrated Mail หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อของการส่งไปรษณีย์แบบลงทะเบียน นับว่าเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการส่งเอกสารสำคัญ หรือการส่งสินค้าในธุรกิจ e-Commerce ที่ผู้ส่งสามารถตรวจสอบสถานะการส่งได้เฉพาะต้นทางและปลายทาง โดยจะคิดค่าบริการตามน้ำหนักในอัตราของไปรษณีย์ธรรมดา รวมค่าปฏิบัติการพิเศษ 13 บาท แต่ถ้าหากเกิดความเสียหาย หรือสูญหายไปรษณีย์ไทยจะชดเชยให้ตามมูลค่าตลาด แต่ไม่เกินชิ้นละ 300 บาท

บริการไปรษณีย์ด่วนพิเศษ EMS
เป็นบริการจัดส่งเอกสาร หรือสิ่งของด่วนแบบภายในประเทศ ที่ผู้ส่งสามารถฝากส่งได้สูงสุดถึง 20 กิโลกรัมต่อชิ้นเลยทีเดียว อีกทั้งยังมีระบบการติดตามและเช็คพัสดุตั้งแต่เริ่มเก็บเข้าระบบ จัดเก็บใส่ถุง และจัดส่งไปยังมือผู้รับได้ตลอด 24 ชั่วโมง ด้วยระบบ Track & Trace บนเว็บไซต์ของไปรษณีย์ไทย พร้อมเพิ่มความสะดวกให้ผู้ใช้งานด้วยการตรวจสอบผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่ด้วยแอปพลิเคชัน Track & Trace

สามารถตรวจสอบอัตราค่าบริการก่อนเดินทางไปที่ไปรษณีย์ ได้ที่นี่
ในกรณีที่ผู้ใช้บริการจัดส่งเอกสารผ่านบริการไปรษณีย์ด่วนพิเศษ EMS ทางไปรษณีย์ไทยยังมีการชดใช้ค่าเสียหายในกรณีที่สูญหาย หรือเสียหายระหว่างการจัดส่งตามมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง แต่ไม่เกิน 2,000 บาท/ชิ้น


ขอขอบคุณเครดิตข้อมูลและภาพจาก : ไปรษณีย์ไทย