Home »
Uncategories »
แบ่งปันประสบการณ์ การบริหารเงิน ทำอย่างไรถึงจะมีเงินล้าน
แบ่งปันประสบการณ์ การบริหารเงิน ทำอย่างไรถึงจะมีเงินล้าน
ถ้าหากพูดถึงเรื่องเงินทองใครก็อยากจะได้
ทำงานหนักเก็บเงินเก็บทองเรื่อยๆ แต่ทำไมมันถึงไม่ถึงล้านสักที
วันนี้เราจะพาไปดูกระทู้หนึ่งจากสมาชิกพันทิป mpORD
ที่ได้ออกมาแชร์เล่าประสบการณ์และหลักการในการบริหารจัดการเงินยังไงให้ให้ถึงล้าน
เป็นยังไงนั้นตามไปดูกันเลยครับ
เอากระทู้เก่ามาปัดฝุ่นเล่าใหม่
เผื่อสมาชิคพันทิปรุ่นนี้จะเอาไปเป็นข้อคิดและปรับใช้ให้เป็นประโยชน์บ้างเพราะเห็นมีกระทู้ปรับทุกข์เรื่องหนี้สิน
รวมทั้งเรื่องบ้านเรื่องรถโดนเจ้าหนี้หรือธนาคารยึดขายทอดตลาดอยู่เป็นประจำ
ขอเกริ่นก่อนว่าถึงแม้ว่าเรื่องราวการบริหารเงินและการดำเนินชีวิตของเราส่วนใหญ่เกิดขึ้นในต่างประเทศ
แต่ว่าเป็นหลักการที่ใคร ๆ
ก็สามารถนำไปปรับใช้ได้ไม่ว่าจะอยู่ที่เมืองไทยหรือที่ไหนๆ
และขอย้ำว่าที่เราเขียนเล่าเรื่องราวความเป็นมาของตัวเองนั้นไม่ใช่เพื่อต้องการโอ้อวดความมั่งมี
แต่ต้องการบอกเล่าประสบการณ์และหลักการบริหารเงินเพื่อเป็นกำลังใจและเป็นแรงบันดาลใจแก่คนที่มาอ่าน
เผื่อจะมีใครเห็นคุณค่านำไปปรับปรุงใช้ให้เป็นประโยชน์ในการสร้างความมั่นคงแก่ตัวเองและครอบครัวในอนาคตเท่านั้นเองค่ะ
เราไม่มีทรัพย์สมบัติมาจากไหน
ใช้ชีวิตแบบตีนถีบปากกัดมาตั้งแต่เกิด
เมื่อโตขึ้นได้ไปรู้ไปเห็นครอบครัวอื่นถึงได้รู้ว่าครอบครัวของเรายากจน
แต่ก็ไม่ได้คิดเปรียบเทียบกับใครหรือน้อยใจอะไรเพราะเห็น ๆ
อยู่ว่าพ่อแม่พยายามเลี้ยงดูอย่างดีที่สุดแล้ว
เห็นรูปพ่อแม่นั่งนับตังค์รูปนี้ทีไร น้ำตาไหลทุกที
ถึงแม้ว่าเราเติบโตมาอย่างนี้
แต่เดี๋ยวนี้เรามีเงินสะสมเจ็ดหลัก USD มีบ้านของตัวเองอยู่
ไม่มีหนี้สินแม้แต่สตางค์แดงเดียวมายี่สิบกว่าปีแล้วตั้งแต่ส่งค่าบ้านหมด
มีความสุขดี ไม่รุ่มร้อน เรากับสามีไม่เคยทะเลาะกันเรื่องเงินทอง
แต่เราทุ่มเทเงินทองเพื่อการศึกษาและซื้อประสบการณ์ชีวิตอย่างเต็มที่ตลอดมาโดยเฉพาะเรื่องส่งเสียให้ลูกเรียนหนังสือ
เดินทางท่องเที่ยว และดูคอนเสิร์ตฟังดนตรีดูการแสดงที่ชอบ
เราชอบเที่ยวกันทั้งสองคนและวางแผนเที่ยวอยู่ตลอดเวลาถึงแม้จะเกษียณแล้ว
สามีเขาเกษียณมาได้ 16 ปี ส่วนเราเกษียณมา 4 ปีครึ่งเเล้ว
เราสองคนไปเที่ยวมา 52 ประเทศ
บางประเทศไปหลายครั้งหลายหนและยังเที่ยวอยู่เรื่อย ๆ
เพราะถือว่าการเดินทางเป็นการศึกษาประเทืองปัญญาเเละเป็นการฝึกฝนทักษะอย่างดี
ถ้าหากคิดตามระยะทางแล้วเราไปมารอบโลกอย่างน้อยสี่สิบสองรอบหกทวีปเเล้ว
ยังเหลือแต่ออสเตรเลียเท่านั้นที่ยังไม่ได้ไป
เราส่งลูกเรียนหนังสือจนจบมหาวิทยาลัยโดยไม่เป็นหนี้ธนาคารอย่างที่เด็กอเมริกันจำนวนมากเป็นกัน
ทั้ง ๆ
ที่โดยปกติแล้วค่าเล่าเรียนระดับมหาวิทยาลัยในอเมริกาสูงมาาาาาาากกกก
ขออธิบายว่า ที่อเมริกา
ที่พ่อแม่ชนชั้นกลางส่งเสียให้ลูกเรียนจนจบมหาวิทยาลัยโดยไม่ให้ลูกกู้เงินมาเรียนจนเป็นหนี้หัวโตนี่ไม่ใช่เรื่องปกตินะเพราะค่าเล่าเรียนมหาวิทยาลัยที่นี่สูงจริง
ๆ พ่อแม่ส่วนมากไม่ค่อยมีเงินจ่ายค่าเล่าเรียนให้ลูกจนหมดหรอก
อีกประการหนึ่งเขาถือว่าเวลาลูกอายุ 18 ปีนี่บรรลุนิติภาวะแล้ว
ส่วนใหญ่จะให้ลูกรับผิดชอบตัวเอง
ถ้าอยากเรียนก็ให้ไปหาค่าเล่าเรียนเอาเองก็แล้วกัน
คนหนุ่มคนสาวชาวอเมริกันจำนวนมากจึงกู้เงินมาเรียน
เวลาจบแล้วถึงได้เป็นหนี้ธนาคารมากมาย
จะต้องผ่อนส่งอยู่หลายปีกว่าจะหมดหนี้
ส่วนเรานั้นส่งลูกเรียนจนจบได้ปริญญา
พอลูกเรียนจบยังมีเงินเหลือให้ลูกไปตั้งต้นเริ่มเช่าห้องในแมนฮัตตันเมื่อลูกเริ่มทำงานอีกด้วย
ถ้าใครเคยหาห้องพักในนิวยอร์คจะรู้ดีว่าค่าเช่าสูงแค่ไหน
แถมจะต้องมีเงินให้พอค่าเช่าสำหรับสามเดือนถึงจะเช่าได้
เพราะเขาจะเรียกค่ามัดจำเพื่อค้ำประกันค่าเช่าเดือนแรกและเดือนสุดท้ายก่อนจะย้ายออกในอนาคต
บวกกับค่านายหน้าจำนวนเท่ากับค่าเช่าหนึ่งเดือนอีกต่างหาก
เงินค่านายหน้านี้จะไม่ได้คืนเวลาย้ายออก
แล้วเราทำยังไงล่ะถึงเก็บเงินได้ตั้งแยะอย่างนี้ คำตอบอยู่ที่ว่า
เราเลือกวิถีชีวิตที่เรียบง่าย มีวินัยการเงิน จับจ่ายใช้สอยต่ำกว่ารายได้
ไม่ซื้ออะไรที่เกินกำลังจ่ายจนเป็นหนี้ติดสินไม่ว่าจะเป็นบ้านหรือรถรา
และมองว่าเงินคือสิ่งสมมุติแต่เป็นสิ่งจำเป็นในการแลกเปลี่ยนปัจจัยสี่เท่านั้นเอง
แต่เราทุ่มเทเงินทองเพื่อการศึกษาและซื้อประสบการณ์ชีวิตอย่างเต็มที่ตลอดมา
หมายเหตุ
เราหักเงินทุกเดือนซื้อกองทุนสะสมก่อนที่จะเอาส่วนที่เหลือไปใช้จ่ายในการดำรงชีวิตประจำวันและไม่กู้หนี้ยืมสินเด็ดขาด
ย้อนไปถึงสมัยที่เรายังเป็นเด็ก
พ่อแม่ของเราทำขนมขาย หาเช้ากินค่ำ
เดิมพ่อเป็นช่างก่อสร้างแต่ประสบอุบัติเหตุตกจากหลังคา ขาหักกระดูกเท้าแตก
เดินขากะเผลกเลยต้องอยู่บ้านช่วยแม่ทำขนมขาย ตื่นแต่ตีสี่ทุกวัน ลูก ๆ
ทุกคนก็ต้องตื่นแต่เช้าช่วยทำขนมคนละไม้ละมือเช่นกัน
ไม่ว่างเว้นแล้วถึงจะไปโรงเรียน
แม่จะหาบขนมขายไปที่ตลาดแต่เช้ามืดก่อน พอตลาดวายก็กลับมาทำขนมต่อ
แล้วหาบไปขายตามหมู่บ้านบ้าง ตามงานวัดบ้าง
จนบ่ายก็กลับมาทำขนมต่อเพื่อเตรียมเอาไปขายวันรุ่งขึ้นด้วย พอลูก ๆ
กลับจากโรงเรียนก็ถูบ้านทำความสะอาดบ้านและช่วยพ่อแม่ทำขนมอีก
วนเวียนอยู่เช่นนี้นานนับปี
ตอนหลังสุดแม่ได้ไปขายที่โรงเรียนเป็นขาประจำจึงค่อยสบายขึ้นหน่อยหนึ่ง
เพราะไม่ต้องหาบไปขายทั้งวัน
รูปข้างบนนั่นถ่ายเมื่เรากลับมาเยี่ยมบ้านหลังจากที่เรียนสำเร็จระดับปริญญาโทที่ฝรั่งเศส
ระยะนี้ฐานะการเงินของพ่อแม่กระเตื้องขึ้นมากว่าเดิมมากแล้วนะนั่นเพราะได้ขายประจำที่โรงเรียน
เคยมีคนที่เห็นรูปข้างบนนั้นมาติงว่าไม่จนจริงหรอกเพราะเห็นมีตู้หนังสือในรูปไง ถ้าจนจริง ๆ แล้วเอากล้องไหนมาถ่ายรูปนี้
ขออธิบายว่า
ที่เห็นในรูปนั้นฐานะการเงินของพ่อแม่ดีขึ้นมากแล้ว
ไม่ได้ถามพ่อแม่ว่าเป็นเงินที่กำลังนับอยู่นั้นเก็บมารวมกันตั้งแต่กี่วัน
แต่เรารู้ดีว่าเขาไม่ได้มีเก็บไว้ที่ไหน
เพราะเราแบ่งทุนที่เราได้มาให้พ่อแม่และเป็นค่าเล่าเรียนของพี่และน้องตั้งแต่สมัยที่เราเรียนที่ธรรมศาสตร์แล้ว
ส่วนตู้หนังสือที่เห็นในรูปนั้นพ่อต่อเอาเองจากเศษไม้ที่เหลือ ๆ
ที่เขาทิ้งจากสถานก่อสร้างที่พ่อเคยไปทำ
หนังสือในตู้นั้นคือตำราของเราที่พ่อแม่เเก็บไว้ให้หลังจากที่เรียนจบจากธรรมศาสตร์
ส่วนกล้องตัวนั้นเป็นกล้อง Kodak instamatic
ที่ยืมของรุ่นพี่มาตอนกลับมาเยี่ยมบ้าน
ถึงแม้ว่าพ่อแม่จะลำบากอย่างนั้นแต่คอยสั่งสอนให้ลูกทุกคนประพฤติตัวให้สุภาพเรียบร้อย
พูดจาสุภาพอ่อนหวาน มีสัมมาคารวะต่อผู้ใหญ่ มีน้ำใจเอื้ออารีต่อผู้อื่น
ไม่ทำอะไรผิดศีลธรรม และสนับสนุนให้ลูกทุกคนรู้จักแสวงหาความรู้
และเล่าเรียนหนังสือ
พ่อแม่ไม่เคยบ่นเลยเวลาลูกหมกมุ่นดูตำรา แม้จะอด ๆ อยาก ๆ
ก็ตามจะพยายามอดออมแสวงหาค่าเล่าเรียนมาให้ลูก
แม่จะสอนลูกอยู่เสมอว่า รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหาม
สนับสนุนให้ลูกใฝ่หาความรู้ไม่หยุดหย่อนทั้ง ๆ
ที่เเม่เรียนจบชั้นประถมสี่เท่านั้น
ทั้งหมดนี้เป็นบทเรียนล้ำค่าที่ฝังจิตฝังใจมาจนถึงทุกวันนี้
เมื่อเราเรียนจบชั้นมัธยม
ไปสอบติดที่ธรรมศาสตร์ พ่อแม่เขาช่วยออกค่าใช้จ่ายให้เทอมแรก
แล้วอาจารย์ใจดีท่านหนึ่งไปหาทุนมาให้ เลยไม่ต้องรบกวนพ่อแม่อีกเลย
รับพระราชทานทุนภูมิพลฐานที่สอบเข้าได้ที่หนึ่งของคณะ
***หมายเหตุ
ทุนที่ได้รับขณะที่เรียนที่ธรรมศาสตร์นี้เรียกว่าหล่นตุ้บมาโดนหัวล่ะกระมังทั้งๆที่ไม่ได้ไปกราบเรียนอ้อนวอนให้ใครเอามาให้ไม่ได้แย่งใครมาหรอกนะ
เรื่องของเรื่องก็คือเรารู้ดีว่าพ่อแม่คงไม่สามารถส่งเราเรียนตลอดสี่ปี
เลยไปหาอาจารย์ที่ปรึกษาขอกู้ค่าเล่าเรียนจากคณะ
คิดว่าคงเป็นเพราะว่าความที่เราสอบเข้าธรรมศาสตร์ได้ที่หนี่งของคณะอาจารย์เลยไปบอกคณบดี
ท่านเลยไปหาทุนมาให้แทนที่จะให้กู้เงินจากคณะเป็นหนี้เป็นสิน
คณบดีบอกว่าเจ้าของทุนขอร้องไม่ให้ท่านเปิดเผยให้เราทราบว่าผู้ที่ให้ทุนนั้นเป็นใคร
ท่านอยากจะทำบุญช่วยเหลือนักศึกษาที่เรียนดีแต่ยากจนเท่านั้น
ให้ทุนแล้วให้เลย ไม่หวังอะไรตอบแทน***
เราพยายามมุมานะขยันเรียนเพราะคิดเอาเองว่าถ้าเกิดคะแนนไม่ดีอาจจะถูกตัดทุน
และใช้เงินอย่างระมัดระวังจับจ่ายแต่สิ่งจำเป็นเท่านั้นทั้งเสื้อผ้าทั้งอาหาร
ที่ท่าพระจันทร์มีอาหารอร่อย ๆ เยอะแยะ แต่ไปกล้าซื้อกินบ่อย ๆ
มีอยู่หนหนึ่ง เพื่อน ๆ
เรี่ยไรเงิน 100 บาทจากทุกคนเพื่อจะเอาไปซื้อดอกไม้แพง ๆ
เพื่อถวายท่านอาจารย์ในโอกาสอะไรก็จำไม่ได้เเล้ว เงิน 100 บาทเมื่อ 45 -
46 ปีที่แล้วมีมูลค่าราวๆ 3000 หรือ 5000 บาทเดี๋ยวนี้กระมังคะ
ซึ่งก็เป็นจำนวนมากมายสำหรับเราเพราะถ้าจำไม่ผิดเราได้ทุนค่าใช้จ่ายเดือนละ
400 บาทเป็นค่าหอพักและค่าอาหาร เจ้าของทุนใจดีให้ค่าเล่าเรียนต่างหาก
เราเลยตัดสินใจไม่ร่วมกับการเรี่ยไรของเพื่อน โอย
โดนเพื่อนต่อว่าอย่างหนัก หาว่าขี้เหนียว ไม่รู้จักกตัญญูรู้คุณต่ออาจารย์
ทีรองเท้าใหม่ยังซื้อได้ ค่าดอกไม้แค่นี้ไม่ยักจ่าย
หารู้ไม่ว่ารองเท้าคู่เก่าคู่เดียวที่มีอยู่เพิ่งขาดไป
ถ้าไม่ไปซื้อใหม่ก็จะไม่มีรองเท้าสวมไปเรียนหนังสือ
เหตุผลอีกประการหนึ่งก็คือ
เราเเบ่งค่าทุนส่งไปให้พ่อแม่ตั้งแต่เรียนปีที่สองแล้ว
ทั้งยังส่งไปช่วยออกค่าลงทะเบียนให้พี่ชายที่เริ่มเรียนที่รามคำเเหงอีกด้วย
นั่นคือวิถีการใช้เงินใช้ชีวิตของเรา
จะระมัดระวังในการใช้จ่ายเพื่อดำรงชีวิตประจำวัน ใช้จ่ายโดยประมาณ
ใช้ของดีมีคุณภาพ
โดยไม่จำเป็นต้องขวนขวายหาของมีตราเด่นดังราคาแพงเกินเหตุ แต่จะทุ่มเท
ทั้งเงิน ทั้งเวลา ทั้งความสามารถ
ทั้งความมานะพยายามในการแสวงหาความรู้เสริมสร้างปัญญาและประสบการณ์
ตลอดเวลาสี่ปีที่เรียนวิชาเอกภาษาฝรั่งเศส
เราเจียดเงินไปเรียนภาษาฝรั่งเศสพิเศษเพิ่มเติมที่สถาบันฝรั่งเศสที่ถนนสาธร
ไม่มีว่างเวัน
ปีสุดท้ายท่านอาจารย์หัวหน้าแผนกภาษาฝรั่งเศสท่านเห็นผลการเรียนเลยให้ทุนเป็นค่าเรียนพิเศษและค่าตำราเพิ่มไปจากทุนค่าเรียนค่ากินอยู่ที่ได้รับจากอีกเจ้าทุนหนึ่งอยู่เเล้ว
ปีหลัง ๆ ที่ธรรมศาสตร์ยังไปสอนพิเศษหารายได้เพิ่มด้วย
สอนภาษาไทยให้ชาวอเมริกันบ้าง ชาวฝรั่งเศสบ้าง
และสอนภาษาฝรั่งเศสให้เด็กไทยค่ะ เหนื่อยหน่อย
แต่ก็ได้ฝึกภาษาทั้งขึ้นทั้งล่อง
ทุกวันนี้ก็ยังสอนลูกว่าอย่าหยุดการแสวงหาความรู้ ให้พยายามฝักใฝ่เรียนรู้อยู่ตลอดเวลาจนกระทั่งวันตาย
เชื่อว่าความมุมานะและการไปเรียนพิเศษเพิ่มเติมที่สถาบันฝรั่งเศส
ช่วยทำให้สอบได้ทุนจากรัฐบาลฝรั่งเศสไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยซอร์บอนน์
เราบินไปปารีสทันทีที่จบหลักสูตรที่ธรรมศาสตร์โดยไม่รอเข้าพิธีรับปริญญาก่อน
เพราะทางทุนเขาส่งให้ไปเรียนภาษาเพิ่มช่วงหน้าร้อนก่อนลงทะเบียนเรียนโท
ทุนนี้เป็นทุนด้านวัฒนธรรมให้ไปเรียนที่ฝรั่งเศสโดยไม่มีข้อผูกมัดอะไรอะไรเลย
โอยๆๆๆ ใครๆ
ก็รู้ว่าปารีสนี่มีของยั่วใจมากมาย เสื้อผ้าถุงน่องรองเท้า กระป๋งกระเป๋า
เครื่องสำอาง ล้วนแต่ทำให้น้ำลายไหลทั้งนั้น
มีใครที่ไหนไม่รู้บ้างว่าปารีสเป็นศูนย์แฟชั่นมานานนักหนา
แล้วเวลาเพื่อนไปอิตาลี แต่ละคนจะขนซื้อกระเป๋า และเครื่องหนังอื่น ๆ
กลับมาเป็นแถว
แต่เชื่อไหมคะ ว่าเราอยู่ที่ปารีสเกือบสี่ปีซื้อแค่ลิปสติคไม่กี่แท่ง แล้วซื้อน้ำหอม Chanel ขวดเดียวเท่านั้นเอง
ทำไมถึงใจแข็งอะไรปานนั้นนะ
จะขี้เหนียวไปถึงไหนหรือ ไม่ใช่อะไรหรอกค่ะ
ทุนที่ได้นั้นมีแค่พอเป็นค่าหอพัก ค่าอาหารที่โรงอาหารนักเรียน
และค่าเดินทางอีกนิดหน่อยเท่านั้นเอง
ยังดีที่ก่อนออกเดินทางเมื่ออาจารย์พาไปกราบเจ้าของทุนที่ส่งให้เรียนมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
เจ้าทุนท่านให้เงินติดกระเป๋ามาหน่อยหนึ่ง
แต่ก็ต้องเอาไปจ่ายค่ามัดจำหอพักที่ปารีสเสียเกือบหมด
เพราะฉะนั้นจึงจำเป็นต้องเลือกค่ะ ไม่ซื้อเครื่องสำอาง
หรือเสื้อผ้าข้าวของสวยๆ อะไรเลย
เพราะไงรู้ไหมคะ เพราะจะเก็บตังค์ไปเที่ยวไง
ทั้งยังแบ่งเงินจากทุนและเงินที่ได้จากการเฝ้าดูแลลูกของเพื่อนชาวฝรั่งเศสไปให้พ่อแม่และออกค่าเล่าเรียนของน้องด้วยจึงต้องเขียมอย่างขนาดหนัก
ก็เป็นประสบการณ์ในการบริหารการจัดการเงิน
เผื่อจะเป็นไอเดียในการบริการจัดการเงินให้กับหลายคนที่อยากจะมีเงินล้าน
ก็เป็นอีกหนึ่งบทความประสบการณ์ดีๆ ที่นำมาแชร์แบ่งปันกัน
เรียบเรียงโดย : thaihitz.com ขอขอบคุณข้อมูลจาก mpORD